วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันที่ 20 ธันวาคม 2554 ณ บริเวณใต้สะพานปิ่นเกล้า ถนนพระอาทิตย์ หลังมหาวิยาลัยธรรมศาสตร์ เวลา 14:00 น.

 เรียนเชิญร่วมงาน โครงการแจกเต็นท์ เพื่อผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ใต้สะพานปิ่นเกล้า

ที่ มอช 007/2554

วันที่  19 ธันวาคม 2554

เรื่อง       เรียนเชิญร่วมงาน โครงการแจกเต็นท์ เพื่อผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ใต้สะพานปิ่นเกล้า

เรียน       

   สิ่งที่ส่งมาด้วย                     เอกสารแนะนำกิจกรรม

                          ด้วยมูลนิธิอิสรชน ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย ตามทะเบียนเลขที่ กท ๒๑๓๑ เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนดำเนินงานกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์พัฒนาสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ในสภาวะอยากลำบากและด้อยโอกาสทางสังคมให้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

                          สืบเนื่องจากการทำงานของมูลนิธิอิสรชน ที่มีเป้าหมายในการทำงานกับกลุ่มผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะมาตั้งแต่ปี 2546 โดยแสวงหาทางเลือกให้กับ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต ซึ่งตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาที่มูลนิธิอิสรชนได้ทำการสำรวจจำนวนผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างไม่เป็นทางการมาเป็นประจำทุกปี โดยพบว่าตัวเลขผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกปี และในปี 2554 นี้ จากสถานการณ์น้ำท่วมและหลังจากน้ำลดพบว่ามีผู้ออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะเพิ่มมากขึ้น จากการหมดสิ้นเนื้อปะดาตัว และไม่รู้จะกลับไปสู่การฟื้นฟูที่บ้านตนเองอย่างไร จะจัดงานโครงการแจกเต็นท์เพื่อผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2554 ณ บริเวณใต้สะพานปิ่นเกล้า ถนนพระอาทิตย์ หลังมหาวิยาลัยธรรมศาสตร์  เวลา 14:00 น.  



 

(นายนที  สรวารี)

เลขาธิการมูลนิธิอิสรชน

ประสานงาน 086-687-0902 ,086-6282817  คุณอัจฉรา  สรวารี 
 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กสทช.ปูพื้นฐานความรู้ค่ายวิทยุ-ทีวี ก่อนแจกใบอนุญาตปี 55

 


กสทช.ปูพื้นฐานความรู้ค่ายวิทยุ-ทีวี ก่อนแจกใบอนุญาตปี 55

 

กสทช.เร่งปูพื้นฐานความรู้ค่ายวิทยุและโทรทัศน์ ก่อนแจกใบอนุญาตช่วงไตรมาส 2-3 ปี 55 ระบุ อุตสาหกรรมวิทยุและโทรทัศน์มีมูลค่าตลาดรวม 6 หมื่นล้าน และมีผู้ประกอบการมากกว่า 1 หมื่นรายทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า การประชุมสร้างความเข้าใจทิศทางและแนวนโยบายการดำเนินงานของ กสท. ต่อผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์นั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการวิทยุและโทรทัศน์ เข้าใจการดำเนินการเมื่อการจัดตั้ง กสทช.แล้วเสร็จ ซึ่งต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุ กระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ในบทเฉพาะกาลมาตรา 82 และ 83 ที่ผู้ประกอบการที่ใช้คลื่นความถี่ จะต้องรายงานให้ กสทช.รับทราบถึงการครอบครองและการใช้คลื่นดังกล่าว 

"กสท.ได้กำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานว่า ภายใน 6 เดือนข้างหน้า กรอบหลักเกณฑ์การให้รายงานการครอบครองและการใช้คลื่นแล้วเสร็จ หลังจากนั้น 3 เดือน ก็จะให้ผู้ประกอบการรายงานการใช้คลื่นความถี่ตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศ และอีก 3 เดือนถัดไป ถ้าผู้ประกอบการรายใดมีความพร้อม ก็จะแจกใบอนุญาตประกอบกิจการให้ภายในไตรมาส 3 ปี 2555 ส่วน
ผู้ประกอบการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ เช่น เคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม ก็จะเริ่มทยอยแจกใบอนุญาตได้ภายไตรมาส 2 ปี 2555"

พ.อ.นที กล่าวต่อว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมวิทยุและโทรทัศน์ มีมูลค่าตลาดรวม 60,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการมากกว่า 10,000 รายทั่วประเทศ ซึ่งมีตั้งแต่รายเล็ก รายกลางและรายใหญ่ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจร่วมกันระหว่าง กสทช.กับผู้ประกอบการ ที่จะสร้างหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน เพื่อมิให้เกิดปัญหาฟ้องร้องกันในอนาคต 

ด้าน พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า กรรมการ กสทช. กล่าวว่า กสทช.จะจัดประชุมสัมมนาเพื่อทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ ว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร ภายใต้บทเฉพาะกาลมาตรา 82 และ 83 ของ พ.ร.บ.กสทช. เพราะผู้ประกอบการก็ต้องการความชัดเจนจาก กสทช. โดยจะได้เดินทางไปทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการทุกรายในประเทศ โดยเริ่มที่กรุงเทพฯก่อน หลังจากนั้นจะเดินทางไปภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ คาดว่าภายในเดือน ม.ค. 2555 จะสามารถทำความเข้าใจได้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 

ขณะที่นายสุระ เกนทะนะศีล รักษาการกรรมการผู้อำนวยใหญ่ บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อสมท. ได้เตรียมพร้อมรับมือ เมื่อมี กสทช.มาโดยตลอด โดยสิ่งที่ยังกังวลคือ คลื่นวิทยุที่มีอยู่ 62 สถานีนั้น อสมท.ก็ยังชี้แจงว่า มีเหตุผลที่ยังคงต้องใช้งานต่อไป แต่หากต้องคืน ก็อาจคืนเพียง 1 ใน 4 ของคลื่นที่ใช้งานอยู่ หรือเพียง 10 แห่งเท่านั้น ซึ่งจะเป็นคลื่นที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้ อสมท. แต่คลื่นใดที่สร้างรายได้ให้ อสมท. ทาง อสมท. ก็ต้องชี้แจงความจำเป็นของการใช้คลื่นนั้นต่อไป

Tweet

 
 
ที่มา : www.thairath.co.th
วันที่ 13 Dec 2011 - 18:00

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การผลักดันการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน



จาก: somboon srikomdokcare <wept_somboon@hotmail.com>
วันที่: 13 ธันวาคม 2554, 23:01



Subject: ข่าวด่วนค่ะ
Date: Tue, 13 Dec 2011 21:26:47 +0700

ถ้าได้รับอีเมลนี้ต้องขอภัยนะคะ และขอความกรุณาส่งต่อด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณอย่างสูง
สมบุญ สีคำดอกแค
 

 
 
ด่วนมาก !
 
 
ขอส่งข่าว
 
เรื่องการผลักดันการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน   ขอแรงสนับสนุนการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสถาบันฯของผู้ใช้แรงงานที่มีระยะเวลาเดินทางมายาวนานถึง 19 ปี.....ย้อนหาความจริงใจจากภาครัฐและนักการเมือง.....จะยอมให้การพัฒนาอุตสาหกรรมต้องสังเวยด้วย แขน ขา สุขภาพกาย ใจ.. .และชีวิตของผู้ใช้แรงงาน อีกต่อไปหรือกับสถาบันฯที่ทำหน้าที่ วิชาการอย่างเดียวหรือ ?.....แค่ขอให้มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์.....กับการสรรหา...ทำไมถึงทำไม่ได้...กลัวอะไร..???
 
ขอท่านอ่านในเอกสารแนบที่ส่งมาให้แล้วคือ
1.รายงานการประชุมคณะทำงานหารือวันนี้ 13ธค54
2.ร่างพระราชบัญญัติของผู้ใช้แรงงานและภาคประชาชน
3.ร่างที่ผ่าน คปอ.คือ ร่างที่มีข้อขัดแย้ง
4.ตารางเปรียบเทียบ
 
 
เราต้องช่วยกันนะคะให้เวทีประชาพิจารณ์องค์กรปฎิรูปกฏหมายต้องเป็นเจ้าภาพไม่ใช่กระทรวงแรงงาน และพวกเราต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีประชาพิจารณ์ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้
 
 
มีข้อสงสัยสอบถามตรงที่
คุณสมบุญ สีคำดอกแค
โทรศัพท์ 081-81328-98
อีเมล wept_somboon@hotmail.com
เวฟไซด์   www.wept.org
 

 

From: mo_mongkun@hotmail.com
To: wept_somboon@hotmail.com
Subject:
Date: Tue, 13 Dec 2011 19:54:40 +0700





ลมเอย (ทวิภพ) - ขิม





http://aomjai.blogspot.com

*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลุยไม่รู้โรย(13 ก.ค.54)


หากภาพที่สวยงามเกิดจากการแต่งแต้มสีสันด้วยพู่กัน ชีวิตที่สวยงามก็คงเกิดจากการแต่งแต้มด้วยความสุข และรอยยิ้มให้กับผู้คน พบกับเรื่องราวและแนวความคิดของคุณลุงสุภักดิ์ และพลังในการสร้างความสุขให้กับผู้คนด้วยพู่กัน ในรายการลุยไม่รู้โรย ตอน ความสุขบนปลายพู่กัน วันอังคารที่ 13 ธันวาคมนี้ เวลา 05.30 น. ทางไทยพีบีเอส

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศปภ.ปรับบริการโทร 1111 กด 5 ให้ข้อมูลฟื้นฟู

 

ศปภ.ปรับบริการโทร 1111 กด 5 ให้ข้อมูลฟื้นฟู

ศปภ.ปรับโหมดบริการสายด่วน 1111 กด 5 ให้ข้อมูลเรื่องฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบภัย จากเดิมรับข้อร้องเรียนน้ำท่วม...

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ได้ปรับโหมดการให้บริการสายด่วนหมายเลข 1111 กด 5 แล้ว จากเดิมที่เปิดให้บริการรับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาอุทกภัย แต่ปัจจุบันได้ปรับมาเป็นการให้บริการเกี่ยวกับเรื่องการฟื้นฟู เยียวยา ผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งหากใครประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการฟื้นฟู ซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยให้บริการข้อมูล ที่พร้อมจะตอบปัญหาให้กับผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถามได้ 

ทั้งนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ขอความร่วมมือไปยังรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ให้เร่งส่งข้อมูลที่มีการอัพเดตแล้วมายังสายด่วนดังกล่าว อีกทั้งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงยังสามารถส่งข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบข้อมูลในส่วนของกระทรวงตนเองได้ว่ามีการอัพเดตข้อมูลหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง.

โดย: ทีมข่าวการเมือง

29 พฤศจิกายน 2554, 19:50 น.

กรมควบคุมโรคมั่นใจไร้ยุงลายช่วงน้ำท่วม ยอดไข้เลือดออกน้อยลง

 

กรมควบคุมโรคมั่นใจไร้ยุงลายช่วงน้ำท่วม ยอดไข้เลือดออกน้อยลง

รองอธิบดีกรมควบคุมโรคเผย ยุงชุมในช่วงน้ำท่วมเป็นแค่ยุงรำคาญ เนื่องจากน้ำสกปรกเป็นแหล่งเพาะเชื้อ ส่วนแหล่งเพาะเชื้อยุงลายต้องเป็นน้ำสะอาด ชี้สถิติป่วยไข้เลือดออกมีแนวโน้วน้อยลงจากปีก่อน...

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ในระยะนี้ยุงลายไม่มีความน่าเป็นห่วง เพราะที่มีมากมักเป็นยุงรำคาญ ซึ่งวางไข่ในน้ำเน่า โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูล ที่ถือเป็นอาหารชั้นดีของยุงรำคาญ ทั้งนี้ สิ่งที่อยากเตือนคือ หากถูกยุงรำคาญกัดจะมีอาการรู้สึกเจ็บ และคันมากเป็นพิเศษ และเสี่ยงเกิดโรคไข้สมองอักเสบได้ รวมทั้งการเกาผื่นคันมากๆ จะส่งผลให้ผิวอักเสบได้ แนะนำว่าควรมีการป้องกันตัวเอง เช่น การสวมเสื้อให้มิดชิด ทาโลชั่นกันยุง ใส่ทรายอะเบท หรือน้ำยาล้างจานผสมน้ำฉีดไปที่แหล่งยุงเกาะ 

"อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการเฝ้าระวังโรคดังกล่าวแล้ว และเชื่อว่าโอกาสพบโรคไข้สมองอักเสบก็มีน้อยเช่นกัน เนื่องจากยุงที่เป็นพาหะต้องไปดูดเลือดสัตว์ เช่น สุกรที่ติดโรคมาก่อน จากนั้นมากัดคนจึงจะมีอาการป่วย แต่ปัจจุบันในพื้นที่ภาคกลางที่ประสบอุทกภัยไม่พบจำนวนของสุกรมากนัก และคนก็อพยพอออกไป ทำให้โอกาสป่วยไข้สมองอักเสบอาจไม่มาก ส่วนโรคไข้เลือดออกที่หลายฝ่ายกังวลนั้น การเติบโตของยุงลาย จะทำได้ดีในพื้นที่น้ำขัง แต่ต้องเป็นน้ำสะอาด จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบปัญหาการระบาดของโรคจนเป็นที่น่าผิดสังเกต" นพ.สุวรรณชัย กล่าว

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือ การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์และอาหารของยุง ซึ่งก็คือ ขยะ โดยต้องไม่ทิ้งขยะลงน้ำเพิ่ม เพราะยิ่งเป็นการสร้างอาหารให้ยุง นอกจากนี้ หากต้องการฆ่าลูกน้ำเพื่อทำลาย วงจรชีวิตยุงก็สามารถทำได้โดยการใช้ผงซักฟอก เทลงในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งไม่ใช่น้ำสำหรับอุปโภค บริโภคก็อาจทำได้ แต่วิธีนี้อาจมีผลกระทบต่อการทำให้เน่าเสียเพิ่ม ดังนั้น ต้องพิจารณาอีกทีว่า หากไม่ใช่พื้นที่กว้างมากก็สามารถทำได้แล้วค่อยบำบัดน้ำเสียในภายหลัง สำหรับตัวเลขผู้ป่วยไข้เลือดออกตั้งแต่ต้นปี 2554 ถึงปัจจุบันพบ 64,000 ราย เสียชีวิต 56 ราย ขณะที่ปี 2553 พบผู้ป่วย 100,000 ราย เสียชีวิต 100 ราย.

โดย: ทีมข่าวการศึกษา

29 พฤศจิกายน 2554, 23:00 น.

สรุปสถานการณ์อุทกภัย ประจำวันที่ 29 พ.ย. 2554

สรุปสถานการณ์อุทกภัย ประจำวันที่ 29 พ.ย. 2554

"ไทยรัฐออนไลน์" สรุปสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 29 พ.ย.2554 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. - 18.00 น. โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล  ดังนี้

07:52 น. กรมอุทกศาสตร์ ทร. คาดน้ำขึ้นเต็มที่เวลา 11.36 น. ระดับ 2.13 ม.รทก. และเวลา 19.38 น. ระดับ 1.72 ม.รทก.

09.05 น. ประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์ เปิด 1.50 เมตร ชาว อ.ลำลูกกา ส่งคนเฝ้าป้องกัน กทม. มาลดบานประตูระบายน้ำลง เผยพื้นที่ท้ายประตูน้ำสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด

09.05 น. น้ำท่วมคลี่คลาย! เปิดใช้สะพานกลับรถ ถ.วิภาวดีฯ ช่วงแยกหลัก 4 ส่วนหัวน้ำท่วมอยู่บริเวณศูนย์ซ่อมการบินไทย



09.15 น. ตลาดศาลายา จ.นครปฐม น้ำที่เคยท่วมลดลงใกล้แห้งสนิท ทำให้พ่อค้า-แม่ค้าเริ่มเข้าสำรวจร้าน พร้อมทำความสะอาดเตรียมกลับมาเปิดขาย

09.36 น. แถวเคหะหลักสี่เข้า-ออกได้แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้น้ำท่วม ส่วนเคหะทุ่งสองห้องน้ำยังท่วมขังสูงเฉลี่ย 40 ซม.

09.44 น. ทหารสหรัฐฯ ขนยุทโธปกรณ์ถึงดอนเมืองเตรียมช่วยกู้บริเวณสนามบิน โดยมีแผนจะลงมือที่ศูนย์ซ่อมเครื่องบินทอ.ก่อน

10.09 น. ตลาดยิ่งเจริญย่านสะพานใหม่เตรียมทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์วันนี้ (29พ.ย.) หลังน้ำท่วมคลี่คลาย และลุยเปิดขายในพื้นที่ตลาดทันที

10.15 น. วันนี้ (29พ.ย.) ศาลปกครองกลางนัดไต่สวนนัดแรก คดีคนนนทบุรีฟ้อง กทม.-ศปภ. กรณีเกี่ยวกับน้ำท่วม

10.32 น. พบน้ำเน่ายังทะลักคลองประปาบริเวณคลองประปาตัดคลองบางหลวงกับคลองเชียงราก เขต จ.ปทุมฯ เร่งแก้ไข ขณะที่บิ๊ก กปน. ยันไม่มีผลต่อคุณภาพประปา

10.57 น. ผู้ว่า กกท. เผยยังมีผู้ประสบภัยน้ำท่วมพักในศูนย์อพยพที่กกท.หัวหมาก 309 ราย แต่วันพรุ่งนี้ (30พ.ย.) เตรียมย้ายไปศูนย์ฯ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการ


11.11 น. น้ำท่วม ถ.เพชรเกษมดีขึ้น โดยช่วงหน้าเดอะมอล์บางแครถวิ่งได้แล้ว 2 เลนขวา

11.53 น. นราธิวาสฝนหยุดตก สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย แม่น้ำ 2 สาย เข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้น แม่น้ำสุไหงโก-ลก ยังมีน้ำสูงกว่าตลิ่ง 89 ซม. เหตุมาเลเซียผันน้ำลงสมทบ

12.01 น. น.อ.สมศักดิ์ เตือนฝั่งธนฯให้ทำใจ น้ำท่วมอาจยาวถึงสิ้นปี เผยเตรียมนำเข้าที่ประชุมหารือ ศปภ.เรื่องคลองพระยาสุเรนทร์ โยน กทม.ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน

12.11 น. ศธ.แจ้งเลื่อน 'O-Net' ออกไป 2 สัปดาห์จากผลกระทบน้ำท่วม แต่ให้งดเรียนชดเชยวันหยุด

12.39 น. โฆษก กทม.ย้ำมติ กทม.ให้เปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ 1 ม. ด้าน ผบช.น.รุดลงพื้นที่ตรวจการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยล่าสุด ประตูฯยังเปิด 1.5 ม.

12.47 น. ซอยแจ้งวัฒนะ 14 น้ำท่วมยังไม่แห้ง- ถ.บรมราชชนนีช่วงทางลงด่วนคู่ขนานลอยฟ้าน้ำยังท่วมสูง

12.59  น. ศอ.บต.แจ้งตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือน้ำท่วมใน 5 จังหวัดชายแดนใต้



13.17 น. ประชาสัมพันธ์ กรุงเทพฯ โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @pr_bangkok ระบุุ "รร.กทม.จะเปิดเรียน6ธ.ค.นี้กทม.จึงทยอยส่งผู้ประสบภัยที่สมัครใจกลับบ้าน ใน30พ.ย.พร้อมมอบถุงทำความสะอาด โดยเขตจะจัดรถรับ-ส่งไปยังจุดรวมพล ส่วนผู้อพยพที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ กทม.จะเปิดศูนย์เยาวชนฯ,ศูนย์กีฬาฯ ให้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย 91รร.สังกัดกทม.ใน10เขต ที่ยังมีน้ำท่วมขังจะเลื่อนเปิดเทอมเป็น13ธ.ค.พร้อมชวนทุกภาคส่วนร่วมทำความ สะอาด1-5ธ.ค.ผู้ประสงค์เข้าร่วมประสานตรงที่เขต ส่วนโรงเรียนกทม.จะสอนชดเชยในวันเสาร์-อาทิตย์ และช่วงเย็นของวันธรรมดา 15.00-16.00 น. ตั้งแต่เปิดเรียนถึง 27 ก.พ.55"

13.30 น. รมว.ศึกษาธิการ เผยระดมทีม ศธ.ช่วยน้ำท่วมตั้งแต่ 1 ธ.ค.นี้ จัด Fix It Center ฟื้นฟูด้านการเกษตร กศน.ร่วมอาชีวะ ซ่อมแซมบ้านเรือน ระบุช่วยบุคลากรน้ำท่วมรายละไม่เกิน 3 แสน

13.48 น. น้ำใจไทยรัฐ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม นายวัชร วัชรพล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เทรนด์ วีจี3 จำกัดซึ่งเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ นายดำฤทธิ์ วิริยะกุล รองหัวหน้าข่าวภูมิภาค และตัวแทนพนักงาน-นักข่าวลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ ที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จำนวน 2,900 ถุง

13.58 น. กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดรถธงฟ้าเคลื่อนที่ ให้บริการจำหน่ายสินค้าแก่ผู้ประสบอุทกภัย ประจำวันที่ 29พ.ย.54 ตามสถานที่ดังนี้ 1.รร.ฮิดาย่าตุ้ลอิสลาม เขตสะพานสูง 2.วัดจันทร์ ถ.เพชรเกษม เขตภาษีเจริญ 3.เคหะพรพระร่วงประสิทธิ์ ถ.รามอินทรา เขตสายไหม 4.วงเวียนทะเลสาบหมู่บ้านเศรษฐกิจ ถ.พุทธมณฑลสาย 2 เขตบางแค 5.สำนักงานเขตดอนเมือง 6.รร.วัดชัยพฤกษมาลา ถ.ราชพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน 7.สำนักงานเขตบางกอกน้อย 8.ชุมชนดำรงสันติธรรม (อิสลาม) ถ.เชื่อมสัมพันธ์ เขตหนองจอก 9.สำนักงานเขตบางแค 10.สำนักงานเขตหลักสี่ 11.หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง เขตสะพานสูง 12.ชุมชนคลองบางซื่อ ลาดพร้าว 34 เขตห้วยขวาง 13.ลานกีฬาชุมชนริมคลองบางซื่อ ลาดพร้าว 42-44 เขตห้วยขวาง

14.21 น. ศาลปกครองไต่สวนคดีคนนนท์ฟ้องปมน้ำท่วมก่อนมีคำสั่งให้ศปภ.แจงขั้นตอนการระบายน้ำ-กู้ถ.340เป็นลายลักษณ์อักษร

14.55 น. ผู้ว่าฯกทม.ระบุไม่เจรจามวลชนที่ประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ โบ้ยศปภ.จัดการไม่คิดมีคนบงการ

15.00 น. ตร.จราจรแจ้งถ.พหลโยธินตั้งแต่สะพานใหม่ไปถึงอนุสรณ์สถานน้ำยังท่วมสูงเฉลี่ย30ซม.รถเล็กควรเลี่ยง

15.43 น. ฝนตกหลายจุดในกทม. อาทิ ย่านหมอชิต2 ราชพฤกษ์ ตลิ่งชัน โชคชัย4 และนาคนิวาส



15.45 น. คนชัยนาทแย่งน้ำทำนา! หลังน้ำท่วมคลี่คลายไม่นาน ไม่มีความพอดีน้ำท่วมเพิ่งแห้งไม่กี่เดือนคนชัยนาทครึ่งพันต้องชุมนุมแย่งน้ำคลองมะขามเฒ่า-อู่ทองทำนาแล้วแต่ยังดีตกลงกันได้

15.54 น. น้ำเริ่มลด การทางพิเศษฯ เตรียมเปิดด่านทางด่วนบางพูนตามปกติ เริ่ม 1 ธ.ค. เวลา 00.01 น. ส่วนด่านบางปะอินและเชียงราก ยังมีน้ำท่วมขัง งดให้บริการต่อ

16.00 น. ธนาคารโลกระบุ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเป็นต้องใช้เงินสูงถึง 24.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 755,000 ล้านบาทในการฟื้นฟูบูรณะประเทศและดำเนินโครงการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต ขณะที่โยมิอูริ ชิมบุง หนังสือพิมพ์รายวันเก่าแก่ของญี่ปุ่น รายงานว่า บริษัทฮอนด้า มอเตอร์ ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์แดนปลาดิบเตรียมย้านฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ และขนาดกลางที่มีขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 400 ซีซีขึ้นไปบางส่่วน มาผลิตในประเทศไทยเพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย แม้ก่อนหน้านี้ สายการผลิตรถยนต์ของฮอนด้าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะได้รับความเสียหายจาก เหตุน้ำท่วมจนต้องประกาศยุติการผลิต

16.07 น. สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา ค่อยๆ สูบน้ำออกเพียงวันละ 10 ซ.ม.เพื่อกู้วัดไชยวัฒนารามอย่างช้าๆ เพื่อให้น้ำพยุงและปรับสภาพให้เข้าที่ หวั่นถล่มพังลงมา เผยนักท่องเที่ยวต่างชาติล่องเรือชมรอบๆ วัด

16.30 น. เดอะมอลล์เตรียมเปิดบริการสาขาบางแค ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 10.30-21.00น. ตามปกติ หลังสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย

16.40 น. การประปานครหลวง (กปน.) เตือนประชาชนที่มีถังพักน้ำใต้ดินและถูกน้ำท่วมควรทำความสะอาดถังพักน้ำก่อน ใช้ และผู้ใช้ปั๊มน้ำจากท่อโดยตรง ควรระวังปั๊มน้ำจะดูดสิ่งสกปรกเข้าสู่ท่อได้หากมีท่อแตกรั่วอยู่ใกล้เคียง และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน กปน. ได้ติดตั้งจุดบริการน้ำประปากว่า 600 จุด ได้แก่ สำนักงานประปาสาขา สำนักงานเขตโรงเรียน สถานีตำรวจ องค์การบริหารส่วนตำบลมัสยิด ฯลฯ ซึ่งประชาชนสามารถนำภาชนะมารองน้ำได้ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามจุดบริการได้ที่ศูนย์บริการประชาชน โทร. 1125 ตลอด 24 ชั่วโมง

16.46 น. รฟม.แจ้งให้นำรถจอดหนีน้ำท่วมออกจากอาคารจอดรถสถานีลาดพร้าวก่อนเวลาตี5วันที่6ธ.ค.นี้กรณีพ้นกำหนดจะคิดเงินวันละ1พัน

16.50 น. ครม.มีมติยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ และรถยนต์สำเร็จรูปแก่โรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วม

16.57 น. ชาวตลาดบางบัวทองฮือปิดถ.บางกรวย-ไทรน้อยประท้วงนายกเล็กอ้างไม่สนใจกู้ถนน โยนกรมชลฯทำฝ่ายเดียวล่าสุดสลายตัวแล้ว


16.59 น. ประชาสัมพันธ์ กรุงเทพฯ โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @pr_bangkok ระบุ "กทม.ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมทำความสะอาดโรงเรียนตั้งแต่ 1–5 ธ.ค.54 สำหรับหน่วยงานที่ประสงค์จะเข้าร่วมฯ สามารถประสานโดยตรงที่สำนักงานเขตทุกแห่ง"

17.11 น. ทวิตเตอร์ @pea_thailand โพสต์ข้อความ ระบุ "นายณรงค์ศักดิ์ กำมเลศ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ของภาคกลาง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลายแห่ง กฟภ. ได้จัดตั้งคณะทำงานการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งระดมบุคลากรจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 12 เขตทั่วประเทศ ทำให้ กฟภ.สามารถพร้อมจ่ายไฟฟ้าเข้าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นมา สำหรับนิคมอุตสาหกรรมที่เหลือระดับน้ำยังคงท่วมสูง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางกะดี ผู้ประกอบการยังไม่พร้อมให้ กฟภ. ดำเนินการจ่ายกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม กฟภ. พร้อมจ่ายไฟฟ้าให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมทุกแห่งที่อยู่ในพื้นที่ความ รับผิดชอบของ กฟภ. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่หรือสาย ด่วน 1129 PEA CALL CENTER"

17.43 น. ธปท.ขอความร่วมมือ สถาบันการเงิน นันแบงก์ และ บ.สินเชื่อส่วนบุคคล ผ่อนผันเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อกู้ให้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิตได้เกินกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมโดยเฉพาะ โดยมีผลตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิ.ย.55

17.46 น. ผวจ.พัทลุงเรียกส่วนราชการและท้องถิ่น วางแผนรับมือน้ำท่วมระลอก 2 หลังกรมอุตุฯ ประกาศเตือนฝนตกต้น ธ.ค. หวั่น 5 อำเภอริมทะเลสาบสงขลาที่ยังจมน้ำโดนน้ำถล่มซ้ำ

17.50 น. ทางหลวงชนบทเปิดใช้ ถ.ชัยพฤกษ์-ถ.ราชพฤกษ์ ตลอดเส้นทาง ให้ประชาชนสัญจรไปมาได้แล้ว เหลือเพียงช่วงตัดทางหลวงหมายเลข 345 กำลังเร่งสูบน้ำและซ่อมผิวจราจร ขณะที่ถนนภาคใต้เสียหาย 34 เส้น จากมรสุมถล่ม

17.58 น. ปธ.คณะทำงานบริหารจัดการระบายน้ำในพื้นที่สาธารณภัยร้ายแรง ยัน ไม่รู้เหตุคนอ้างมาจาก ศปภ.นำคนกดดันเปิด ปตร.คลองพระยาสุเรนทร์ ชี้เป็นการทำที่ผิดมารยาท เพราะจะเปิดให้อยู่แล้ว เชื่อเปิด 1.5 เมตรไม่กระทบมาก เตรียมรับมือแล้ว

18.07 น. ธปท.เตรียมร่อนหนังสือกำชับสถาบันการเงินในระบบ ทวงหนี้อย่างเป็นธรรม และเหมาะสมในช่วงน้ำท่วม คาดเตรียมประกาศใช้เร็วๆ นี้ เชื่อหลังน้ำท่วมยอดร้องเรียนทวงหนี้จะพุ่ง ทั้งเสนอเป็นตัวกลางถกยืดเวลาผ่อนหนี้ให้ประชาชน

18.10 น. ปภ.สรุปน้ำท่วมวันที่ 29 พ.ย. ยังมี 15 จังหวัดรวมกทม.แต่ไม่รวมภาคใต้ถูกน้ำท่วม ประชาชนเดือดร้อนกว่า 4.8 ล้านคน ยอดตาย 621 ศพ

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

29 พฤศจิกายน 2554, 18:51 น.

http://m.thairath.co.th/content/region/220087

เปิดคำฟ้องฟันเหยื่อ112หมิ่นผ่าน facebook อัยการให้ลงโทษหนักเกิดมาอาศัยแผ่นดินไทยไม่้จงรักดี!

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 พฤศจิกายน 2554

คืบหน้าช่วยเพื่อนในคุก-นางธิดา ถาวรเศรษฐ เขียนบันทึกความก้าวหน้าช่วยเหลือเพื่อนนักโทษคดีการเมือง คาดได้ยื่นประกัน 101 นักโทษคีดการเมืองในกลางเดือนหน้า ส่วนการย้ายที่คุมขังมาที่บางเขนแยกจากอาชญากรทั่วไปพร้อมแล้ว และได้ขอร้องคนที่โจมตีว่า ขอให้มาเป็นส่วนหนึ่งแห่งการกระทำเพื่อช่วยเหลือนักโทษการเมืองให้สัมฤทธิผลจะดีกว่า 


นายแพทย์สลักธรรม โตจิราการ บุตรชายนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.เขียนเปิดเผยในเฟซบุ๊ควันนี้ ว่า ล่าสุดคุณแม่เล่าให้ฟังว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรียุติธรรม ได้แจ้งว่า สถานที่ใหม่ที่จะให้นักโทษการเมืองอยู่นั้น ระยะแรกพร้อมแล้ว จะเริ่มย้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดว่าสภาพสถานที่นั้นเอื้ออำนวยต่อคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของนักโทษการเมืองทั้งหลายมากกว่าสภาพที่ปัจจุบัน แต่ยังติดปัญหาว่านักโทษการเมืองในต่างจังหวัดจะทำอย่างไร 

ส่วนเื่เรื่องการประกันตัว ล่าสุดสมาคมทนายแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยทำงานกับกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรมในการประกันตัวนักโทษการเมือง ในกลางเดือนธันวาคม ข้อมูลทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยพร้อมดำเนินการยื่นเรื่องประกัน

คุณแม่ฝากประกาศว่า แม้เราจะได้รับความช่วยเหลือจากสมาคมทนายความ กลุ่มทนายเพชรพงศ์ บ้านเลขที่111 รวมถึงทนายอาสา เช่นคุณอานนท์ แต่เรายังต้องการทนายมาช่วยทวงความยุติธรรมเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะการประกันนักโทษคดี พรก.และคดี112 ถ้าทนายท่านใดรักความเป็นธรรมกรุณาติดต่อ อ้อย เลขาคุณแม่ได้ที่ 086-093-7706 หรือที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม อิมพีเรียลลาดพร้าวชั้น 5 ในเวลาราชการครับ

เรื่องนี้สืบเนื่องจากรักษาการประธานนปช.เข้าพบรัฐมนตรียุติธรรมเมื่อวันที่ 23 พฤษจิกายนที่ผ่้านมา ขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อเสนอของ คอป.ซึ่งได้ข้อตกลง 2 เรื่้องคือการย้ายที่คุมขังให้นักโทษคดีการเมืองต่างหากจากอาชญากรทั่วไป และให้ปล่อยตัวโดยกรมคุ้มครองสิทธิจะเป็นผู้ยื่นประกันตัว

วันเดียวกันนางธิดา เขียนบันทึกหัวข้อ ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยกล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า ในเร็ว ๆ นี้ผู้ต้องขังเหล่านี้จะได้รับสิทธิแยกไปคุมขังในที่เหมาะสม อาจจะเป็น โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม เราก็หวังว่าในระหว่างรอคอยอิสรภาพ ผู้ถูกคุมขังจากคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น จากที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำเช่นเดียวกับผู้ประกอบอาชญากรรมทั่วไป

สำหรับการประกันตัวนั้น ถ้าผู้ถูกคุมขังใดประสงค์จะแยกประกันโดยหลักทรัพย์เดิม และทนายเดิมที่มีอยู่ ก็รีบแจ้งที่ นปช. ด่วนด้วย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-9349481 แฟ็กซ์ 02-9349467 หรือ E-Mail : hec2011@hotmail.co.th , คุณวัฒน์ 089-5133197, คุณข้าวเหนียว 086-0937706 เพราะจะได้นำเสนอ ส่วนผู้ถูกคุมขังที่เหลือทั้งหมดที่ประสงค์จะให้รัฐบาลและกรมคุ้มครองสิทธิ ประกันตัวทุกท่าน 

ก็หวังว่าจะได้รับการประกันตัวเพิ่มขึ้น และเราก็ต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเราทุกคน เรามิได้เน้นคนหนึ่งคนใด คดีใดเป็นพิเศษ แต่เราทำเพื่อทุกคน ผู้ที่พยายามโจมตีกล่าวร้าย นปช. ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้คุณเป็นส่วนหนึ่งแห่งการกระทำเพื่อช่วยเหลือให้สัมฤทธิผลจะดีกว่ากระมัง !

นางธิดาเขียนบันทึกเรื่อง ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ว่า การปฏิบัติภาระหน้าที่เฉพาะหน้าของคณะกรรมการ นปช. ส่วนกลางตามที่แถลงไว้ ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2553 อันเป็นการแถลงเปิดตัวคณะกรรมการ นปช.ส่วนกลาง ในสถานการณ์ที่คณะกรรมการชุดเดิมต้องถูกจับกุมคุมขังและหลบหนีไปเกือบทั้งหมด คนที่เหลืออยู่ก็ถูกคุกคามว่าจะจับกุมอยู่เกือบทุกวัน เช่น คุณจตุพร พรหมพันธ์ ก็ถูกอธิบดี DSI เวลานั้น ขู่จับกุมเกือบทุกสัปดาห์ คณะกรรมการชุดรักษาการจึงต้องเกิดขึ้นในสถานการณ์ยากลำบากของขบวน

ข้อแรกของภาระหน้าที่ คือ การรณรงค์ให้ปล่อยตัวหรือได้รับการประกันตัว ทั้งแกนนำ มวลชนเสื้อแดง และผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบทั้งหลายให้ได้รับการประกันตัว เพื่อดำเนินคดีอย่างรัฐที่มีนิติธรรม

ข้อ 2 การช่วยกันเยียวยาผู้ถูกกระทำและครอบครัว ทั้งการประกันตัวและต่อสู้คดี

ข้อ 3 การเรียกร้องความยุติธรรม อันหมายรวมที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ และการใช้อำนาจรัฐที่เป็นนิติรัฐนิติธรรม ด้วยมาตรฐานเดียวกันต่อประชาชนผู้ถูกกล่าวโทษและจับกุมคุมขัง

ข้อ 4 การยกระดับการต่อสู้ของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยองค์ความรู้ มิให้ลื่นไถลไปกับความคิดสุ่มเสี่ยง หรือการยอมจำนนอย่างไร้หลักการ

ข้อ 5 ต่อสู้ ผลักดัน จัดตั้งรัฐบาลประชาชน ภายใต้เป้าหมายยุทธศาสตร์ใหญ่เฉพาะหน้า คือการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง และองค์กรที่มาจากผลการทำรัฐประหาร 

ถ้าคนที่ติดตาม นปช. ในการแถลงข่าวมาตลอดก็จะรู้เป้าหมายยุทธศาสตร์ ซึ่งมีอยู่นานแล้วว่า ไม่ต่างอะไรกับแนวทางนิติราษฎร์ และเราก็แถลงสนับสนุนมาตลอด จนบางคนกล่าวว่า เราเอากลุ่มนิติราษฏรมาผูกโยงกับ นปช. รึเปล่า บางคนไม่เห็นด้วย 

แต่เราได้แถลงเป็นประจำถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ นโยบาย และภาระหน้าที่ของ นปช. ซึ่งเราต้องปฏิบัติตามหลักการนี้ ไม่ใช่เรื่องสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนกลุ่มใด แต่เราเดินไปตามหลักการที่วางไว้ และได้รับการเห็นชอบมาก่อนแล้ว เมื่อเป็นไปตามแนวเดียวกัน การพูดสนับสนุนก็เป็นธรรมดาที่พูดกันเป็นประจำ ปัญหาเรื่องสนับสนุนนิติราษฎรหรือไม่ จีงมีเฉพาะผู้ที่ไม่ติดตามเรื่องราวของเราเท่านั้น จีงไม่ทราบหรือทราบแต่ตั้งใจจะให้ร้ายป้ายสีก็เป็นได้

ในการปฏิบัติตามหลักการ มติของ นปช. ที่วางไว้นั้น บางเรื่องต้องมีขั้นตอน ระยะเวลา และสถานการณ์มาเกี่ยวข้อง แต่เราเดินหน้าปฏิบัติไปให้บรรลุให้ได้

ขณะนี้เราได้รวบรวมรายชื่อผู้ต้องขังอันเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองไว้ 101 ราย เพื่อทำภาระหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่ การประกันตัวและต่อสู้คดี ซึ่งประชาชนทั่วไปก็ได้ช่วยกันมากมาย เพราะลำพังกลุ่ม นปช. ไม่มีกำลังทรัพย์และทนายเพียงพอที่จะช่วยได้สมบูรณ์ทุกราย ทนายอาสา และประชาชนอาสาจึงเป็นส่วนเติมเสริมแต่งให้การช่วยเหลือดีขึ้น

ณ บัดนี้ ในการเร่งรัดรัฐบาลในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ใช่เรื่องของตุลาการ เราได้พยายามที่จะเร่งให้รัฐบาลนี้และกลไกความยุติธรรมอื่น ๆ อำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนผู้ถูกกระทำให้ได้มากที่สุด ดังที่เราได้เจรจากับคณะของกระทรวงยุติธรรม มีทั้ง รัฐมนตรี ประชา พรหมนอก ท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม ท่านรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และตัวแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิ โดยได้ขอความเป็นไปได้ 4 ข้อคือ 

1. ให้ดำเนินการประกันตัวทุกรายในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง (มิได้จำกัดเฉพาะคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมในเดือน เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553)

2. ให้จัดที่คุมขังแยกจากผู้ถูกคุมขังอื่น ๆ

3. ให้ทบทวนการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินจริง

4. ให้ชลอคดีที่ดำเนินอยู่ โดยรอข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วนทั้งเหตุแห่งปัญหา และมาตรการทางกฎหมายและประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งมาตรการทางอาญาเรื่องความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน

ทางกระทรวงยุติธรรมรับไป 2 ข้อแรก เพราะเดิมหน่วยงานรัฐบาลจะไม่รวมคดี 112 และ พรบ. คอมพิวเตอร์ฯ แต่เรายืนยันข้อเสนอ คอป., ปคอป. และมติ ครม. เรื่อง คดีหมิ่นฯ ตามมาตรา 112 และผิด พรบ. คอมพิวเตอร์ฯ ทางกระทรวงฯ จึงรับสิทธิของผู้ต้องขังเหล่านี้รวมไว้ตามข้อเสนอ ปคอป. และข้อเรียกร้องของเราด้วย

ผลก็คือ เร็ว ๆ นี้ผู้ต้องขังเหล่านี้จะได้รับสิทธิแยกไปคุมขังในที่เหมาะสม อาจจะเป็น โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม เราก็หวังว่าในระหว่างรอคอยอิสรภาพ ผู้ถูกคุมขังจากคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นจากที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำเช่นเดียวกับผู้ประกอบอาชญากรรมทั่วไป

สำหรับการประกันตัวนั้น ถ้าผู้ถูกคุมขังใดประสงค์จะแยกประกันโดยหลักทรัพย์เดิม และทนายเดิมที่มีอยู่ ก็รีบแจ้งที่ นปช. ด่วนด้วย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-9349481 แฟ็กซ์ 02-9349467 หรือ E-Mail : hec2011@hotmail.co.th , คุณวัฒน์ 089-5133197, คุณข้าวเหนียว 086-0937706 เพราะจะได้นำเสนอส่วนผู้ถูกคุมขังที่เหลือทั้งหมดให้รัฐบาลและกรมคุ้มครองสิทธิ ประกันตัวทุกท่าน

ก็หวังว่าจะได้รับการประกันตัวเพิ่มขึ้น และเราก็ต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเราทุกคน เรามิได้เน้นคนหนึ่งคนใด คดีใดเป็นพิเศษ แต่เราทำเพื่อทุกคน ผู้ที่พยายามโจมตีกล่าวร้าย นปช. ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้คุณเป็นส่วนหนึ่งแห่งการกระทำเพื่อช่วยเหลือให้สัมฤทธิผลจะดีกว่ากระมัง !

*********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-เปิดหลักฐานกระบวนการอยุติธรรมไทยไม่ปรองดอง ฟันอีกคดีหมิ่น-ถ่วงคดีก่อการร้ายยึดสนามบินครบ 3 ปี

-ย้าย 101 นักโทษการเมืองไปพลตร.บางเขน รัฐเป็นเจ้าภาพยื่นประกันรวมอากง SMS ขึ้นกับศาลเมตตา

เปิดคำฟ้องฟันเหยื่อ112หมิ่นผ่าน facebook อัยการให้ลงโทษหนักเกิดมาอาศัยแผ่นดินไทยไม่้จงรักดี!

"จำเลยเป็นคนไทย อาศัยบนผืนแผ่นดินไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาติบ้านเมือง และพสกนิกร จำเลยนอกจากไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรเสมอมาแล้ว ยังบังอาจแสดงความอาฆาตมาดร้าย มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ประชาชนชาวไทยไม่อาจยอมรับได้ พฤติการณ์ของจำเลยไม่มีเหตุอันควรปราณีไม่ว่าในทางใด สมควรได้รับโทษสถานหนัก "

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 พฤศจิกายน 2554

วันนี้ศาลอาญาได้เบิกตัวนายสุรภักดิ์(ขอสงวนนามสกุล)จำเลยมารับทราบคำฟ้องของนายชลัมพร เพ็ชรรัตน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา6 สำนักงานคดีอาญาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ รายล่าสุด หลังมีการจับกุมและคุมขังตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา

คำฟ้องของอัยการระบุว่า จำเลยกระทำผิดโดยเขียนข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเผยแพร่ลงในfacebookรวม 5 ครั้ง ระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม-16 สิงหาคม 2554 ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ ในตอนท้ายคำฟ้องระบุว่า

" อนึ่ง จำเลยเป็นคนไทย อาศัยบนผืนแผ่นดินไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาติบ้านเมือง และพสกนิกร จำเลยนอกจากไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรเสมอมาแล้ว ยังบังอาจแสดงความอาฆาตมาดร้าย มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ประชาชนชาวไทยไม่อาจยอมรับได้ พฤติการณ์ของจำเลยไม่มีเหตุอันควรปราณีไม่ว่าในทางใด สมควรได้รับโทษสถานหนัก "

นายอานนท์ นำภา ทนายความของจำเลยในคดีนี้ แสดงความเห็นว่า อ่านคำฟ้องฉบับล่าสุดที่พนักงานอัยการฟ้องคดีหมิ่นฯ จากเฟซบุ๊คแล้วถือเป็นคดีแรกที่พนักงานอัยการได้แสดงทัศนคดิส่วนตนโดยบรรยายฟ้องจนเกินเลยไปกว่าองค์ประกอบความผิด ไม่ว่าท่านจะคิดเช่นไรก็หามีสิทธิที่ใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ 

กระบวนการยุติธรรมไทยไม่สนมติครม.ให้ปรองดองสั่งชลอคดี

คำสั่งฟ้องในคดีดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากปลัดสำนัำกนายกรัฐมนตรีส่งหนังถือลงวันที่ 9 พฤศจิกายน ถึงอัยการสูงสุดให้ยึดมตินโยบายปรองดองตามข้อเสนอของคอป. ซึ่งเป็นตัวสะท้อนว่าอัยการไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลเลย
ไม่ปรองดองมีแต่ปูดอง2มาตรฐานต่อไป-หนังสือปลัดสำนักนายกรัฐมตรี ลงวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีคำสั่งขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อัยการสูงสุด ให้ปฏิบัติตามมติครม.เรื่องการอย่าเพิ่งให้ส่งฟ้อง หรือให้ปล่อยตัว และชลอคดีคนเสื้อแดง กับคดี112 และหากตัดสินเด็ดขาดแล้วให้แยกที่คุมขังนักโทษคดีการเมืองออกจากนักโทษอาชญากรทั่วไป แต่กระบวนการยุติธรรมไทยไม่สน

ทั้งนี้นายสุรภักดิ์ วัย 40 ปี โปรแกรมเมอร์อิสระ ที่ถูกจับกุมคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ตกเป็นเหยื่อคดีหมิ่นจากการเล่นเฟซบุ๊ค ซึ่งสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ รายงานข่าวเรื่อง จับ "เฟคบุ๊ค" เหยื่อ 112 : เขาละเมิดสิทธิผมตั้งแต่ชั้นจับกุม ว่า เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 2 กันยายน เจ้าพนักงานชุดจับกุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในชุดนอกเครื่องแบบประมาณ 10 คน ได้บุกเข้าจับกุมนายสุรภักดิ์ชาวจังหวัดบึงกาฬ ณ อาพาร์ตเม้นท์ ในซอยมหาดไทย (ลาดพร้าว 122) โดยได้กล่าวหาว่ากระทำความตามพระราชบัญญัิติว่าด้วยการกระทำความผิดอันเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 

ซึ่งในระหว่างจับกุมได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์แบบพกพา,คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แอร์การ์ด รวมทั้งแผ่นซีดีไปด้วย ทั้งนี้ ในระหว่างเข้าจับกุมพนักงานเจ้าหน้าที่มิได้ให้โอกาสผู้ต้องหาติดต่อกับทนายความ หรือผู้ที่ผู้ต้องหาไว้วางใจแต่อย่างใด

"พอผมกลับจากทำธุระข้างนอกเค้าก็กรูเข้ามาล็อกตัวผมทันที พูดจาข่มขู่สารพัด แต่ละคนตัวโตๆทั้งนั้น มีบางคนเข้าไปค้นและรื้อยึดคอมพ์ผมไปทั้งโน้ตบุ๊ค และ PC พวก ซีดีโปรแกรม และแอร์การ์ดที่ผมใช้ทำงานก็เอาไป เขาแจ้งข้อหาผม หาว่าผมเป็นคนสร้างเพจ เราจะครองแผ่นดินโดย… ในเฟสบุ๊ค ซึ่งผมก้ปฏิเสธว่าผมไม่รู้เรื่อง 

แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอม และยังบอกว่าผมใช้ชื่อว่า "ดอกอ้อริมโขง" และกล่าวหาว่าผมไปเกี่ยวข้องกับเว็ปไซต์ นปช.ยูเอสเอ ผมยืนยันว่าผมไม่รู้เรื่อง แต่เขาบังคับให้ผมลงชื่อรับสารภาพ ผมจะโทร.หาทนายความก็แย่งโทรศัพท์มือถือจากผม ผมกลัวเลยลงชื่อไป 

เจ้าหน้าที่บังคับให้ผมบอกรหัสเปิดคอมพิวเตอร์ ผมกลัวจึงบอกเค้าไป แล้วเขาก็พาผมมาที่ดีเอสไอ จึงได้ติดต่อกับทนายความ ดีที่ได้ทนายจากทีมคุณคารม พรรคเพื่อไทย ที่มาช่วยกัน ผมจึงมีโอกาสให้การปฏิเสธ"

ต่อมาญาตินายสุรภักดิ์ได้ประสานขอความช่วยเหลือจากทางพรรคเพื่อไทย โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยของจังหวัดบึงกาฬ ใช้ตำแหน่งเข้ายื่นประกันตัว แต่ก็เหมือนผู้ต้องหา่คดีนี้รายอื่นๆคือไม่ได้ประกันตัว

สหภาพยุโรป (อียู) ออกแถลงการณ์ แสดงความเป็นห่วง กรณีมีคำพิพากษาจำคุก "อากง" พร้อมเรียกร้องรัฐบาลไทยยึดมั่นในการนำหลักนิติธรรมไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม ไม่เลือกปฏิบัติ สอดคล้องกับการสนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกด้วย

อียูออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วง หลังคำตัดสินคดีอากง

เว็บไซต์ประชาไท รายงานว่า สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปออกคำแถลงการณ์ตามที่ได้เห็นพ้องโดยหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ดังต่อไปนี้:

สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปมีความเป็นห่วงในกรณีที่มีคำพิพากษาจำคุกนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) เป็นเวลา 20 ปี มีความผิดในฐานละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

สหภาพยุโรปต้องการย้ำถึงจุดยืนของสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญกับการยึดมั่นในหลักนิติธรรม ประชาธิปไตย และการเคารพสิทธิมนุษยชน

สหภาพยุโรปขอสนับสนุนให้รัฐบาลไทยยึดมั่นในการนำหลักนิติธรรมนั้นไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับการสนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกด้วย 

******
ข่าวเกี่ยวเนื่อง
-เปิดเบื้องหน้าเบื้องหลังกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติอ้าง facebook ร่วมมือยัดคุกเหยื่อคดีหมิ่นรายล่าสุด

-นักล่าแม่มดบอร์ดเสรีไทยอ้าง facebook ให้ความร่วมมือเปิดเผย IP สมาชิกจับกุมคนเล่น fb หมิ่นฯ1ราย

-'สันติประชาธรรม' วอนให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่น เตือน 'เพื่อไทย' ถลำสู่เกม 'คลั่งเจ้า'

-เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนาส่ง SMS 20 ปี กด Like เฟซบุ๊คคุก 5 ปี อ.นิติราษฎร์ฟันธงมั่วใหญ่แล้วไม่เข้าข่าย
 

ภัยธรรมชาติน้ำท่วมโลก ตอนแรก


Insider เรื่องภัยธรรมชาติใกล้ตัวน้ำท่วมโลก กับ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
อดีตวิศวะกรรมประจำองค์การ NASA ตอนแรก

ถึงจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้น ฟังไว้ก็ไม่เสียหาย อย่างน้อยถ้าเกิดเหตุการณ์น้ำท่­วมโลกจริงๆ เราจะได้มีการเตรียมต­ัว

(เตรียมใจ) กับภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คลิปฯนี้มีประโยชน์มากๆ ขอบคุณนะคะ

ที่พูดๆอยู่นี่ปัจจุบันกะลังทยอ­ยมาทีละอย่าง

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดปมเก่า 'เมกกะโปรเจ็คท์น้ำ' ของสำนักทรัพย์สินฯ ก่อน กยอ.ปัดฝุ่นใช้

 

เปิดปมเก่า 'เมกกะโปรเจ็คท์น้ำ' ของสำนักทรัพย์สินฯ ก่อน กยอ.ปัดฝุ่นใช้

 
 
แม้เหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสสำคัญท่ามกลางวิกฤติที่ประเทศไทยจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ แต่การดำเนินการใดๆ ณ สถานการณ์นี้ก็ยังคงต้องถูกตั้งคำถามและตรวจสอบ... ยิ่งเป็นโครงการใหญ่ยิ่งถูกจับตา
 
ดังกรณีที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) โดยการนำของ "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" หรือ ดร.โกร่ง ได้ออกมาระบุว่าจะใช้ข้อเสนอแนะของ "โครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา" ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อเดือนตุลาคม 2543 เป็นแนวทางการทำงานแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ตามหน้าที่หลักที่ได้รับมอบหมายนั่นคือ การสร้างความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติกลับคืนมายังประเทศไทย และวางแผนการลงทุนระบบน้ำทั้งหมด
 
ขณะที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าผลักดันสุดตัวต่อรัฐบาลและคณะยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ให้ผู้แทนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำในประเทศไทยระยะยาว ด้วยเหตุผลว่า ไจก้าเคยศึกษาการวางแผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณการในพื้นที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อปี 2543 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
 
เมื่อเปิดเอกสาร "โครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา" ของสำนักงานทรัพย์สินฯ พบว่า แผนและมาตรการในการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ แผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมีมาตรการทั้งที่ไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง ใช้สิ่งก่อสร้าง โครงการพัฒนาแหล่งน้ำระดับลุ่มน้ำ โครงการผันน้ำ ไปจนถึงโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
 
หากดำเนินการตามโครงการดังกล่าวได้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับลุ่มน้ำได้ไม่น้อยกว่า 11,000 ล้าน ลบ.ม.ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำแล้ว ยังจะมีปริมาณน้ำเหลือใช้ (Return Flow) เพื่อไปใช้กับพื้นที่ที่ที่อยู่ทางด้านท้ายน้ำได้อีก ไม่น้อยกว่าปีละ 6,000 ล้าน ลบ.ม.
 
พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง คือพื้นที่ในระบบชลประทานของโครงการพิษณุโลก โครงการเจ้าพระยาใหญ่ และพื้นที่อื่นๆ ที่ใช้น้ำจากเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ (ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10 ล้านไร่) จะลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งได้
 
ส่วนประโยชน์ที่จะได้ตามมาคือการลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง สามารถลดปริมาณน้ำเหนือหากผ่านปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการได้ถึง 1,900 ลบ.ม.ต่อวินาที หรือสามารถป้องกันน้ำท่วมในขนาดรอบ 25 ปีได้อย่างดี ซึ่งรวมถึงขนาดน้ำท่วมของปี 2538 และลดปริมาณน้ำเสียจากเมืองหลักได้รวมวันละ 9 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนั้น จะมีปริมาณน้ำจืดเพียงพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (น้ำเสียและน้ำเค็ม) ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนด้วย
 
อย่างไรก็ตาม กระแสคัดค้านโครงการดังกล่าวก็มีมาตั้งแต่ก่อนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 โดยเครือข่ายองค์กรเอกชนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมได้มีหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้ทบทวนโครงการดังกล่าวเป็นระยะ และระบุว่าข้อเสนอในโครงการดังกล่าวเป็นเพียงความคิดเห็นที่รวบรวมมาจากหน่วยงานราชการ
 
โครงการย่อยต่างๆ ภายใต้โครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา อาทิ โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน โครงการผันน้ำเมย-สาละวิน-เขื่อนภูมิพล โครงการเขื่อนแม่ขาน โครงการเขื่อนแม่วงก์ โครงการเขื่อนแควน้อย โครงการเขื่อนกิ่วคอหมา รวมไปถึงการเก็บค่าบริการจากผู้ใช้น้ำในพื้นที่ชลประทาน การเร่งออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ฯลฯ ล้วนยังคงมีข้อถกเถียงและมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานเจ้าของโครงการและประชาชนผู้รับผลกระทบในด้านต่างๆ ที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยในเฉพาะประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชน ความโปร่งใสของการดำเนินงาน ผลประโยชน์ที่แท้จริง และผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม 
 
พื้นที่ก่อสร้างโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น
 
เขื่อนภูมิพล จ.ตาก 
ภาพจาก: flickr.com By: loewit
 
โครงการผันน้ำสาละวิน-เขื่อนภูมิพล 
 
 
นอกจากนี้ เครือข่ายองค์กรเอกชนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ยังเคยมีหนังสือส่งไปยังผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตั้งคำถามถึงผลกระทบจากการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งที่ได้เกิดขึ้นแล้วและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในด้านลบต่อสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเนื่องที่ไม่อาจควบคุมได้ อย่างน้อยใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
 
1.จากสภาพของข้อเท็จจริงในบางพื้นที่ ได้ปรากฏกระแสข่าวลือในเรื่อง "เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" มาก่อนหน้านี้ ดังนั้นเมื่อโครงการจัดทำกรอบฯ มีสถานภาพเป็นมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 จึงน่าเป็นห่วงต่อการนำไปปฏิบัติใช้จริงของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วนแก่ราษฎรในพื้นที่ต่อสถานภาพของโครงการนี้อย่างเป็นจริง
 
2.ในกระบวนการพัฒนาโครงการ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากส่วนราชการจำนวนมาก ต่างก็ได้รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการที่ใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งในโครงการสร้างเขื่อนและ โครงการผันน้ำ แต่ปรากฏว่าโครงการต่างๆ ที่ยังคงมีปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎรทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในโครงการจัดทำกรอบฯ ดังกล่าว
 
3.คณะทำงานของโครงการจัดทำกรอบฯ บางท่าน มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งกำลังศึกษาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำให้กับกรมชลประทาน อาทิเช่น โครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน, โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น, โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขาน ดังนั้นข้อเสนอมาตรการที่ใช้สิ่งก่อสร้าง จึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่องานของบริษัทที่ปรึกษาที่เสนอต่อกรมชลประทาน
 
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการดำเนินงานตามแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และป้องกันความขัดแย้งที่อาจทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต การนำโครงการดังกล่าวกลับมาปัดฝุ่น อาจต้องการการหยั่งเสียงและฟังการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมวงกว้างอีกครั้ง
 
000
 
บทสรุปและข้อเสนอแนะ โครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีดังนี้
 
·         สาเหตุและปัญหาทรัพยากรน้ำ
 
ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นลุ่มน้ำที่มีความสำคัญที่สุดในด้านการเกษตร การอุตสาหกรรม การตั้งถิ่นฐาน และเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาสายหลัก ในอดีตจนถึงปัจจุบันได้มีการพัฒนาด้านทรัพยากรน้ำ โดยขาดการวางแผนและการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบก่อให้เกิดปัญหาสำคัญ คือ
 
1.การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ทั้งทรัพยากรดิน น้ำและป่าไม้ มีสภาพเสื่อมโทรมเป็นอันมากก่อให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินที่รุนแรง ทำให้เกิดปัญหาด้านคุณภาพน้ำ อุทกภัย และภัยแล้ง
 
2.การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของประชากร ทำให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น การขยายตัวของชุมชนเมือง การเพาะปลูกพืชในฤดูแล้ง การพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เป็นสาเหตุให้เกิดความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นและปริมาณน้ำท่าที่มีแนวโน้มลดลงทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ น้ำเสีย และอุทกภัย
 
3.การพัฒนาทรัพยากรน้ำไม่สามารถกระจายตัวในลุ่มน้ำต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ สภาพภูมิประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของแรงงานจากเขตชนบทสู่เมืองใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะลุ่มน้ำที่ไม่มีการพัฒนาโครงการแหล่งน้ำในระดับลุ่มน้ำ
 
4.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจากวิกฤตภัยแล้งในปี 2533-37 ทำให้เกิดภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกในลุ่มน้ำเจาพระยา 2 – 3 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าการส่งออกมากกว่า 10,000 ล้านบาท และส่งผลเสียหายต่อการใช้น้ำในกิจกรรมอื่นๆ เช่น อุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม การคมนาคมทางน้ำ นอกจากนนั้นมีการนำน้ำบาดาลมาใช้ทดแทนมากขึ้นเป็นเหตุให้การทรุดตัวของดิน ยังผลก่อให้เกิดปัญหารุนแรงและต่อเนื่องในอนาคต เช่น ปัญหาน้ำท่วม ถ้าเกิดกรณีอุทกภัยเช่นปี 2538 ในอนาคต 15 ปี จากการพัฒนาชุมชนเมืองและสภาพการใช้ที่ดินจะเกิดความเสียหาย 164,000 ล้านบาท
 
5.ผลกระทบจากกรณีที่แม่น้ำท่าจีนเน่าเสียในต้นปี 2543 สาเหตุมาจากการใช้สารเคมีในไร่นา รวมกับการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานเกิดความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท ทำลายพื้นที่เกษตรกรรมรวม 200,000 ไร่
 
·         แผนและมาตรการในการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ
 
จากปัญหาด้านทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวมของประเทศ จำเป็นต้องดำเนินแผนและมาตรการในการแก้ไขปัญหาเป็น 3 ระยะ คือ แผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว สามารถจัดหาปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นในฤดูแล้งประมาณ 5,000 ล้าน ลบ.ม. บรรเทาอุทกภัยโดยลดปริมาณน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงน้ำหลากช่วงที่ผ่านบางไทรได้ถึง 1,900 ลบ.ม.ต่อวินาที และปรับปรุงคุณภาพน้ำและแก้ไขปัญหาน้ำเสียได้ถึงวันละ 9 ล้าน ลบ.ม.
 
1.แผนระยะสั้น
 
จะต้องแก้ไขปัญหาโดยใช้มาตรการต่างๆ โดยเน้นในพื้นที่ระดับเฉพาะถิ่นและระดับลุ่มน้ำที่มีการพัฒนาแหล่งน้ำเดิมอยู่แล้วเป็นหลัก สามารถลดความต้องการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ได้เพิ่มขึ้นในฤดูฝนเพื่อมาใช้ในฤดูแล้งประมาณ 1,070 ล้าน ลบ.ม. เพื่อกิจกรรมการใช้น้ำต่างๆ และรักษาคุณภาพน้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ให้แก่พื้นที่ใช้น้ำบริเวณท้ายอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ประมาณ 10 ล้านไร่ ลดปริมาณน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยในแม่น้ำเจ้าพระยาได้ประมาณ 250 ลบ.ม.ต่อวินาที และจัดสร้างพื้นที่ปิดล้อมป้องกันพื้นที่ชุมชนหลัก รวมทั้งลดปริมาณน้ำเสียจากเมืองหลักได้ประมาณวันละ 1.6 ล้าน ลบ.ม.
 
มาตรการที่นำมาใช้ประกอบด้วย
 
1.1มาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง สามารถเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง ลดปัญหาน้ำเสียและมีระบบเตือนภัยน้ำท่วมประกอบด้วย
1) การฟื้นฟู อนุรักษ์สภาพแวดล้อม
2) การปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ
3) การปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตร
4) ระบบทำนายและระบบเตือนภัยน้ำท่วม
5) กำหนดการใช้ที่ดิน/พื้นที่เสี่ยงภัย
6) การทำประกันอุทกภัย ผจญภัย และการฟื้นฟูหลังจากอุทกภัย
7) ปรับปรุงเกณฑ์การปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำ
8) สร้างจิตสำนึกให้ลดการระบายน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ
9) กำหนดมาตรฐานคุณภาพแหล่งน้ำและคุณภาพน้ำทิ้ง
10) กำหนดโควตาปริมาณน้ำทิ้งและคุณภาพน้ำทิ้งของแต่ละชุมชน
11) ปรับด้านกฎหมายและองค์กร
 
1.2 มาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง สามารถจัดหาปริมาณน้ำเพิ่มให้กับลุ่มน้ำ ลดปัญหาน้ำเสีย และบรรเทาอุทกภัยในเมืองหลัก ประกอบด้วย
1) การส่งเสริมการปลูกป่าในแหล่งต้นน้ำลำธาร
2) ขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กและการพัฒนาน้ำใต้ดิน
3) ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กกระจายในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ
4) ก่อสร้างโครงการชลประทานระบบท่อ
5) จัดทำระบบปิดล้อมพื้นที่ชุมชนในกรุงเทพฯ และเมืองหลัก
6) ก่อสร้างระบบน้ำเสียรวมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาสายหลักตอนล่าง
 
มาตรการและแผนแก้ไขปัญหาระยะสั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นรอบ 25 ปี (เช่นปี 2538) และปัญหาการขาดแคลนน้ำ รวมทั้งปัญหาน้ำเสียเช่นที่เกิดขึ้นช่วงปี 2533-2537 ที่จะมีผลรุนแรงขึ้นในอนาคต จำเป็นต้องมีแผนระยะกลางและระยะยาวเพิ่มเติม
 
2.แผนระยะกลาง (5-15 ปี)
 
จะต้องใช้มาตรการมีสิ่งก่อสร้างเป็นหลัก ทั้งพื้นที่เปิดใหม่ และพื้นที่เดิมในลุ่มน้ำที่วิกฤต สามารถจัดหาปริมาตรน้ำใช้งานในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1,500 ล้าน ลบ.ม. ลดปริมาณน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยประมาณ 550 ลบ.ม.ต่อวินาที และลดปริมาณน้ำเสียจากเมืองหลักได้วันละ 5.5 ล้าน ลบ.ม.
 
มาตรการที่นำมาใช้ประกอบด้วย
 
2.1 ก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำระดับลุ่มน้ำ คือ อ่างเก็บน้ำเขื่อนคลองโพธิ์ อ่างเก็บน้ำแม่วงศ์ และอ่างเก็บน้ำแควน้อย
 
2.2 โครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน และโครงการผันน้ำเมย-สาละวิน-เขื่อนภูมิพล อาจต่อเนื่องถึงแผนระยะยาว
 
2.3 พัฒนาระบบแก้มลิงในทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง
 
2.4 ปรับปรุงระบบระบายน้ำ
 
2.5 จัดสร้างช่องทางผันน้ำหลากบางไทร-อ่าวไทย อาจต้องต่อเนื่องถึงแผนระยะยาว
 
2.6 ปรับปรุงสภาพลำน้ำระยะที่1
 
2.7 สร้างระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียในลุ่มน้ำเจ้าพระยาสายหลักที่เหลือและท่าจีน
 
แผนระยะกลางจะสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ น้ำเสีย และบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่เปิดใหม่ของลุ่มน้ำสะแกกรัง และลุ่มน้ำแควน้อย รวมทั้งพื้นที่ท้ายเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ รวม 10 ล้านไร่ อย่างได้ผล แต่ถ้าต้องแก้ไขปัญหาในพื้นที่อื่นๆ ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ ต้องดำเนินมาตรการในแผนระยะยาว
 
3.แผนระยะยาว (มากกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 25 ปี)
 
จะต้องแก้ไขปัญหาในระดับลุ่มน้ำโยใช้มาตรการมีสิ่งก่อสร้างเต็มรูปแบบ จะสามารถจัดหาน้ำเพิ่มขึ้นในลุ่มน้ำได้ไม่น้อยกว่า 6,000 ล้าน ลบ.ม. และลดปริมาณน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ใต้บางไทรประมาณ 1,900 ลบ.ม.ต่อวินาที รวมทั้งปรับคุณภาพน้ำเสียในลุ่มน้ำได้ถึงวันละ 9 ล้าน ลบ.ม.
 
มาตรการที่ใช้ประกอบด้วย
 
3.1 การก่อสร้างโครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ อ่างเก็บน้ำแก่งเสือเต้น อ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วคอหมา และอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่ขาน
 
3.2 โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ โครงการผันน้ำเมย-สาละวิน-เขื่อนภูมิพล และโครงการกก-อิง-น่าน
3.3 โครงการพัฒนาระบบแก้มลิงทุกลุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงระบบระบายน้ำ
 
3.4 โครงการก่อสร้างช่องทางผันน้ำฝั่งตะวันออกจากอำเภอบางไทรสู่อ่าวไทย
 
3.5 ปรับปรุงสภาพลำน้ำระยะที่ 2
 
3.6 สร้างระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียในลุ่มน้ำป่าสัก ปิง วัง ยม น่าน และสะแกกรัง
 
สรุปตามแผนและมาตรการทั้งสามระยะ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับลุ่มน้ำได้ไม่น้อยกว่า 11,000 ล้าน ลบ.ม. นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำแล้ว ยังจะมีปริมาณน้ำเหลือใช้ (Return Flow) เพื่อไปใช้กับพื้นที่ที่ที่อยู่ทางด้านท้ายน้ำได้อีก ไม่น้อยกว่าปีละ 6,000 ล้าน ลบ.ม.
 
พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง คือพื้นที่ในระบบชลประทานของโครงการพิษณุโลก โครงการเจ้าพระยาใหญ่ และพื้นที่อื่นๆ ที่ใช้น้ำจากเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ (ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10 ล้านไร่) จะลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งได้
 
ส่วนประโยชน์ที่จะได้ตามมาคือการลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง สามารถลดปริมาณน้ำเหนือหากผ่านปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการได้ถึง 1,900 ลบ.ม.ต่อวินาที หรือสามารถป้องกันน้ำท่วมในขนาดรอบ 25 ปีได้อย่างดี (ขนาดน้ำท่วมของปี 2538) และลดปริมาณน้ำเสียจากเมืองหลักได้รวมวันละ 9 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนั้น จะมีปริมาณน้ำจืดเพียงพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (น้ำเสียและน้ำเค็ม) ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนด้วย
 
 
·         การปรับแผนและทิศทางการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยาในอนาคต
 
การพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีความจำกัดตามศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในลุ่มน้ำ แม้จะมีการพัฒนาโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยการผันน้ำจากลุ่มน้ำอื่นก็ตาม แต่จะต้องมีข้อจำกัดที่จะไม่พัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด เพราะจะทำให้เกิดปัญหาเกินที่จะแก้ไขได้ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับแผนและกำหนดทิศทางในการพัฒนาลุ่มน้ำ กล่าวคือ
 
1. กำหนดความเจริญเติบโตในการพัฒนาในลุ่มน้ำให้เหมาะสมกับทรัพยากรธรรมชาติในลุ่มน้ำ
 
2. การพัฒนาที่ยึดแนวเศรษฐกิจอย่างพอเพียง
 
3. กำหนดเป้าหมายพื้นที่ชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาในทุกขนาดโครงการประมาณ 20 ล้านไร่ และเป็นพื้นที่ชลประทานในโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลางอย่าน้อย 10 ล้านไร่ ที่มีปรมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในฤดูแล้ง จะต้องกำหนดนโยบายและทิศทางการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมในพื้นที่ชลประทานของโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลาง
 
4. ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่เกษตรน้ำฝน โดยใช้ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ
 
5. การควบคุมการใช้ที่ดินในลุ่มน้ำเพื่อให้มีความชัดเจนในการใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย รวมทั้งพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม
 
6. ปรับปรุงรูปแบบการประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำของหน่วยงานต่างๆ ให้ประสานผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันอย่างมีประสิทธิผล และนำไปปฎิบัติได้อย่างแท้จริง
 
 
ข้อเสนอแนะ
 
การแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีข้อเสนอแนะที่ต้องดำเนินการให้บรรลุผล กล่าวคือ
 
1.สนับสนุนและกำหนดแนวทางของโครงการ จัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้มีผลทางปฏิบัติ
 
2.จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ เพื่อให้ครอบคลุมด้านการพัฒนาจัดหาน้ำต้นทุน การจัดสรรน้ำ การควบคุมอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และอุทกภัย รวมทั้งการมีส่วนร่วมของผู้ใช้น้ำให้มากขึ้น เป็นแผนระยะยาวควบคู่กับการวางแผนการใช้ที่ดิน และการขยายตัวของสังคมและเศรษฐกิจในทุกๆ ด้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน
 
3.ผลักดันการจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นให้เต็มตามศักยภาพและให้เหมาะสมกับดุลยภาพของระบบนิเวศ จะต้องให้ความสำคัญการเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนให้กับโครงการใหม่ๆ ในระดับลุ่มน้ำ เพื่อประโยชน์การแก้ไขปัญหาน้ำในทุกๆ ด้าน และกระจายความอยู่ดีกินดีทั่วพื้นที่ลุ่มน้ำ
 
4.เสนอให้ปฏิรูปองค์กรเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับท้องถิ่น เพื่อให้การพัฒนาทรัพยากรน้ำมีความต่อเนื่อง และตอบสนองความต้องการใช้น้ำได้อย่างทั่วถึง
 
5.เสนอรัฐตั้งคณะกรรมทำงานพิจารณาทบทวน แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำเดิมและผลักดันเข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาผู้แทนราษฎรภายใน 1 ปี
 
6.เสนอให้จัดตั้งกองทุนน้ำ (Water Fund) เพื่อใช้แก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ
 
7.เสนอให้รัฐบาลพิจารณาใช้หลักเกณฑ์ผู้ใช้ต้องรับภาระในการจ่ายค่าบริการ (User pay principle) เช่น เก็บค่าบริการจากผู้ใช้น้ำในพื้นที่โครงการชลประทานและเก็บค่าคืนทุนจากโครงการที่รัฐลงทุน
 
การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าปัญหาน้ำขาดแคลน น้ำท่วม และน้ำเสีย รัฐบาลต้องเร่งรัดดำเนินการทุกมาตรการ โดยเน้นมาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างเป็นลำดับแรก อาจจะต้องศึกษาและวางแผนการปฏิบัติเพื่อไม่ให้แผนงานและโครงการของทุกหน่วยงานมีความซ้ำซ้อนและผลกระทบต่อกัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในระบบเดียวกัน ประหยัด และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
 
ในระยะยาวรัฐบาลควรปรับแผนและกำหนดขีดจำกัดความเจริญเติบโตของการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้เหมาะสมกับทรัพยากรธรรมชาติในลุ่มน้ำ พร้อมกำหนดความชัดเจนการใช้พื้นที่เพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย และพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม ฯลฯ
 
สำหรับโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ต่างๆ คือ อ่างเก็บน้ำคลองโพธิ์, แม่วงศ์, แควน้อย, แก่งเสือเต้น, กิ่วคอหมา, และแม่ขาน หรือโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ คือ กก-อิง-น่าน, เมย-สาละวิน-ภูมิพล เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำต้นทุนช่วงฤดูแล้ง ต้องใช้เวลาพัฒนาโครงการนาน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดผลกระทบสูงด้านสังคมและเกี่ยวเนื่องกับนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
 
ควรตั้งหน่วยงานกลางหรือคณะทำงานกลางเพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างจริงจังในทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ให้เนิ่นนานจนกระทั่งมีการพัฒนาการใช้ที่ดินในพื้นที่อ่างเก็บน้ำมากขึ้น จะไม่อาจดำเนินการได้ หากรัฐบาลมีนโยบายการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วพื้นที่ลุ่มน้ำ นอกจากพื้นที่โครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
 
แต่ถ้ารัฐบาลมีนโยบายที่จะใช้ประโยชน์จากโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ช่วงฤดูแล้งอย่างเต็มที่ ก็ควรจัดทำโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำเพื่อหาน้ำมาเพิ่มให้เขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ เพื่อส่งน้ำในช่วงฤดูแล้งให้กับโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
 
สำหรับโครงการช่องทางผันน้ำท่วมบางไทร-อ่าวไทย นอกจากจะเกี่ยวข้องกับการป้องกันความปลอดภัยของประชาชนและความเสียหายทางเศรษฐกิจของภูมิภาคที่สำคัญของประเทศ (ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ) แล้วยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศอีกด้วย เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดผลกระทบสูงด้านสังคม ควรตั้งหน่วยงานกลางหรือคณะทำงานกลางเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบอย่างจริงจังในทันที หากปล่อยทิ้งไว้ให้เนิ่นนาน จนกระทั่งมีการพัฒนา การใช้ที่ดินในเขตแนวช่องทางผันน้ำมากขึ้นจะไม่อาจดำเนินโครงการได้ เช่น กรณีที่เกิดขึ้นกับโครงการช่องทางผันน้ำท่วมของลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา บริเวณชุมชนหาดใหญ่ตามพระราชดำริ ซึ่งเสนอให้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2531 แต่ไม่มีการดำเนินการ เมื่อเกิดอุทกภัยปี 2543 จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคนและเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท
 
ถ้าเหตุการณ์อุทกภัยเช่นปี 2538 เกิดขึ้นในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอีกครั้งในอนาคต และไม่สามารถบริหารจัดการอุทกภัยได้จะทำให้เกิดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งเศรษฐกิจรวมของประเทศอย่างรุนแรงมากกว่าที่เกิดขึ้นที่ชุมชนหาดใหญ่ยิ่งนัก
 
ท้ายที่สุด ขณะที่ยังไม่สามารถจัดทำโครงการใดๆ เนื่องจากยังขาดแคลนงบประมาณและการยอมรับจากสังคม หากเกิดภาวะแล้งเช่นช่วงปี 2533-2537 ขึ้นอีก ควรแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังลงและปรับปรุงการปลูกพืชให้มีน้ำเพียงพอเพื่อการอุปโภคบริโภคและกิจกรรมที่จำเป็นก่อน
 
หากเกิดภาวะอุทกภัยดังเช่นปี 2538 หรือใหญ่กว่า ควรแก้ไขด้วยการกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมตามความจำเป็น (แก้มลิงธรรมชาติของลุ่มน้ำเจ้าพระยาและสาขา) พร้อมกำหนดแนวทางการตอบแทนผู้ที่ไดรับความเสียหายให้ชัดเจนและเหมาะสม
 
 
 
เรียนผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
มนตรี จันทวงศ์ - [ 26 ธ.ค.45, 10:28 น. ]
 
ที่ คฟธ.(เหนือ) ๐๑/๒๕๔๕16 ถนนเทพสถิตย์ ต.สุเทพ
อ.เมือง เชียงใหม่ 50200

๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

เรื่อง โครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
เรียน ผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

เอกสารที่ส่งมาด้วย


๑.(สำเนา) ฎีกา กรณีความเดือดร้อนของราษฎรจากโครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ และเอกสารประกอบฎีกาชุดที่ 1 และชุดที่ 2
๒.หนังสือขอให้ ระงับโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขาน ของราษฎรบ้านแม่ขนิลใต้ หมู่ที่ ๘ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
 
ด้วยโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานพัฒนาเอกชนและเครือข่ายภาคประชาสังคม จำนวนหนึ่ง ภายใต้ชื่อ "เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม" โดยโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ได้ดำเนินการติดตามศึกษาการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในระดับแนวนโยบายการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐบาล สถาบันวิจัยอิสระและองค์การระหว่างประเทศต่างๆ รวมทั้งการติดตามศึกษาในระดับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรน้ำที่ตั้งอยู่บนหลักของความ เป็นธรรม ความเสมอภาค การมีส่วนร่วมและความยั่งยืนของทั้งทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศวิทยาและประชาชนในท้องที่ต่างๆ

ในระดับนโยบายการบริหารจัดการ น้ำของรัฐ โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติพบว่า แนวนโยบายใหม่ๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อาทิเช่น การคิดค่าคืนทุนระบบชลประทาน, การจัดตั้งกองทุนน้ำ, การจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำและการเสนอร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการใช้น้ำในภาคเกษตร เป็นแนวนโยบายที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งในเชิงเนื้อหาและความเป็นอิสระของภาครัฐในการกำหนดนโยบายเหล่านี้ จนถึงปัจจุบันปัญหาในข้อถกเถียงต่อแนวนโยบายการจัดการน้ำใหม่ ยังไม่มีข้อยุติในสังคมไทย

ในระดับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติได้ดำเนินการติดตามศึกษาโครงการผันน้ำ กก-อิง-น่านในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าเป็นโครงการด้านการชลประทานที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าโครงการสูง ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย รวมทั้งยังเป็นโครงการที่จะสร้างความเสียหายต่อวิถีชีวิตของชุมชนและระบบ นิเวศน์วิทยาตลอดแนวผันน้ำอย่างมหาศาล ในตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ราษฎรในพื้นที่โครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน ได้เรียกร้องให้กรมชลประทานทบทวนและยกเลิกโครงการผันน้ำกก-อิง-น่านมาโดยตลอด และยังคงเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างราษฎรกับกรมชลประทานจนถึงปัจจุบัน และรวมถึงโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอีกหลายโครงการที่ยังคงมีปัญหาระหว่างราษฎรใน พื้นที่กับกรมชลประทานที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ อาทิเช่น โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขาน (จ.เชียงใหม่), โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น (จ.แพร่)

อย่างไรก็ตามในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๔ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อโครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการ และพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งนำเสนอโดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ โดยข้อเสนอแผนงานของโครงการฯ ทั้งที่เป็นมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้างและ มาตรการใช้สิ่งก่อสร้างนั้น ส่วนหนึ่งคือประเด็นปัญหาที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ระหว่างราษฎรกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติในนามตัวแทนเครือข่ายองค์กรเอกชนด้านทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ใคร่ขออนุญาตนำเสนอข้อคิดเห็นในบางแง่มุม ที่อาจจะเป็นประเด็นปัญหา อันเนื่องมาจากการปฏิบัติตามโครงการดังกล่าวนี้ โดยจะนำเสนอตามลำดับดังนี้

โครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน (จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.น่าน)
๑. การพัฒนาโครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน ได้ปรากฏกระแสข่าวลือเรื่อง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในทั้ง ๓ จังหวัด เพื่อหวังผลให้ราษฎรไม่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านโครงการ

๒. ราษฎรได้แสดงเจตจำนงขอให้กรมชลประทานยุติโครงการหลายครั้ง ตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๑ ทั้งโดยการยื่นจดหมายอย่างเป็นทางการต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและอธิบดีกรมชลประทานเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๓ และการประชุมร่วมกับกรมชลประทานใน ๓ จังหวัดในโอกาสต่างๆกัน นอกจากนี้ราษฎรยังได้จัดพิธีกรรมความเชื่อของชุมชนล้านนาเพื่อรักษาแม่น้ำ ได้แก่การจัดพิธีสืบชะตาแม่น้ำและพิธีส่งขึดโครงการผันน้ำ แต่กรมชลประทานยังคงดำเนินการต่อไปโดยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนและข้อเรียก ร้องของราษฎร

๓. ราษฎรได้ดำเนินการถวายฎีกา ต่อท่านราชเลขาธิการเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ทราบว่า คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและ พัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๔

๔. ผู้แทนกรมชลประทานที่ร่วมในโครงการจัดทำกรอบฯ เป็นบุคคลเดียวกันกับผู้แทนกรมชลประทานที่ได้รับฟังความเดือดร้อนและข้อ เรียกร้องของราษฎรมาล่วงหน้าเป็นเวลานาน

๕. รายชื่อผู้เชี่ยวชาญบางท่าน คือบุคคลที่ทำงานในบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งรับจ้างกรมชลประทานจัดทำการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ของโครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน ดังนั้นการที่โครงการผันน้ำถูกเสนอเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทั้งหมด จึงน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสในบางระดับ ในความพยายามผลักดันโครงการผันน้ำภายใต้กรอบของโครงการใหญ่

โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขาน (จ.เชียงใหม่) และโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น (จ.แพร่)
๑. ในกรณีโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขาน เป็นโครงการที่นำเสนอโดยสำนักชลประทานเขต 1 จ.เชียงใหม่ ผ่านกลไกของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการลุ่มน้ำปิงตอนบน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กลไกของคณะอนุกรรรมการฯเป็นกลไกที่ยังคงรวมศูนย์การตัดสินใจไว้ที่ระบบ ราชการเพียงฝ่ายเดียว ในการพิจารณาเสนอเห็นชอบโครงการเขื่อนแม่ขานของคณะทำงานลุ่มน้ำย่อยแม่ขาน ในวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๓ ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอสันป่าตอง ไม่มีองค์ประกอบของราษฎรที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อน ได้แก่บ้านแม่ขนิลใต้ ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ซึ่งต้องถูกอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม เข้าร่วมในการประชุม และแผนดังกล่าวถูกบรรจุในแผนพัฒนาลุ่มน้ำปิง ในปีงบประมาณ ๒๕๔๕ โดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

๒. ในขณะเดียวกันได้ปรากฏกระแสข่าวลือเข้าไปในหมู่บ้านว่า โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขานเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวง กระแสข่าวลือดังกล่าวนี้ได้บั่นทอนขวัญและกำลังใจของราษฎรในหมู่บ้านเป็น อย่างมาก ในโอกาสนี้ราษฎรบ้านแม่ขนิลใต้ ใคร่ขอถวายจดหมายพร้อมรายชื่อของราษฎรทั้งหมดมายังฯพณฯองคมนตรี เพื่อได้ทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎร (ซึ่งได้แนบมาเป็นเอกสารประกอบ) ราษฎรบ้านแม่ขนิลใต้ เคยทำจดหมายร้องเรียนไปยัง อบต.น้ำแพร่ ตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๒ ขอให้ยกเลิกโครงการเขื่อนแม่ขาน

๓.ในรายชื่อคณะทำงานของโครงการดังกล่าว นี้ ได้ปรากฏรายชื่อผู้เชี่ยวชาญบางท่าน ซึ่งทำงานในบริษัทที่ปรึกษา อันเป็นบริษัทเดียวกัน ที่ศึกษาโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขานเมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๘

๔. ในกรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ บริษัทที่ปรึกษาเดียวกันนี้ได้รับการว่าจ้างจากกรมชลประทานให้ดำเนินการออก แบบก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเช่นกัน
 
โดยสรุปแล้วการดำเนินการตาม กรอบ โครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้า พระยา อาจจะส่งผลในด้านลบต่อสำนักงานทรัพย์สินฯและอาจจะกระทบต่อเนื่องที่ไม่อาจ ควบคุมได้ อย่างน้อยใน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่
 
๑. จากสภาพของข้อเท็จจริงในบางพื้นที่ ได้ปรากฏกระแสข่าวลือในเรื่อง "เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" มาก่อนหน้านี้ ดังนั้นเมื่อโครงการจัดทำกรอบฯมีสถานภาพเป็นมติครม.เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๔ จึงน่าเป็นห่วงต่อการนำไปปฏิบัติใช้จริงของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทุก หน่วยงาน ที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วนแก่ราษฎรในพื้นที่ต่อสถานภาพของโครงการนี้อย่างเป็นจริง
 
๒. ในกระบวนการพัฒนาโครงการ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากส่วนราชการจำนวนมาก ต่างก็ได้รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการที่ใช้สิ่งก่อสร้างทั้งในโครงการสร้างเขื่อนและ โครงการผันน้ำ แต่ปรากฏว่าโครงการต่างๆที่ยังคงมีปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎรทั้ง หมดถูกบรรจุไว้ในโครงการจัดทำกรอบฯ ดังกล่าว
 
๓. คณะทำงานของโครงการจัดทำกรอบฯ บางท่าน มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งกำลังศึกษาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำให้กับกรมชลประทาน อาทิเช่น โครงการผันน้ำกก-อิง-น่าน, โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น, โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ขาน ดังนั้นข้อเสนอมาตรการที่ใช้สิ่งก่อสร้าง จึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่องานของบริษัทที่ปรึกษาที่เสนอต่อกรมชล ประทาน
 
อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๔ เครือข่ายองค์กรเอกชนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ขอให้ชะลอและทบทวนโครงการจัดทำกรอบฯ ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพราะข้อเสนอทั้งในส่วนที่เป็นมาตรการเชิงนโยบาย(ไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง)และ มาตรการใช้สิ่งก่อสร้างส่วนหนึ่งนั้น ยังมีปัญหาไม่สามารถหาข้อยุติที่ชัดเจนได้ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ ราษฎร และบางส่วนเป็นปัญหาระดับนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นการเสนอ โครงการ ธ ประสงค์ใด ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติอาจจะมีส่วนสำคัญที่จะสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ต่อราษฎร ในอันที่จะได้รับทราบข้อมูลว่าเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหมด ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายติดตามมาในภายหลังยากที่จะแก้ไขได้ แต่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติไม่ได้ให้ความสำคัญในประเด็นที่ได้นำเสนอ ดังกล่าวนี้

โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ในนามตัวแทนเครือข่ายองค์กรเอกชนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ใคร่ขอกราบเรียนในประเด็นปัญหาทั้งที่ได้เกิดขึ้นแล้วและอาจจะเกิดขึ้นใน อนาคต จากโครงการจัดทำกรอบและประสานการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำ เจ้าพระยา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะได้ให้ความกรุณาพิจารณาประเด็นปัญหาที่ได้เรียนนำเสนอนี้

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

(นายมนตรี จันทวงศ์)
ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ(ภาคเหนือ)
ในฐานะตัวแทนเครือข่ายองค์กรเอกชนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม