วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดคำฟ้องฟันเหยื่อ112หมิ่นผ่าน facebook อัยการให้ลงโทษหนักเกิดมาอาศัยแผ่นดินไทยไม่้จงรักดี!

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 พฤศจิกายน 2554

คืบหน้าช่วยเพื่อนในคุก-นางธิดา ถาวรเศรษฐ เขียนบันทึกความก้าวหน้าช่วยเหลือเพื่อนนักโทษคดีการเมือง คาดได้ยื่นประกัน 101 นักโทษคีดการเมืองในกลางเดือนหน้า ส่วนการย้ายที่คุมขังมาที่บางเขนแยกจากอาชญากรทั่วไปพร้อมแล้ว และได้ขอร้องคนที่โจมตีว่า ขอให้มาเป็นส่วนหนึ่งแห่งการกระทำเพื่อช่วยเหลือนักโทษการเมืองให้สัมฤทธิผลจะดีกว่า 


นายแพทย์สลักธรรม โตจิราการ บุตรชายนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.เขียนเปิดเผยในเฟซบุ๊ควันนี้ ว่า ล่าสุดคุณแม่เล่าให้ฟังว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรียุติธรรม ได้แจ้งว่า สถานที่ใหม่ที่จะให้นักโทษการเมืองอยู่นั้น ระยะแรกพร้อมแล้ว จะเริ่มย้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดว่าสภาพสถานที่นั้นเอื้ออำนวยต่อคุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของนักโทษการเมืองทั้งหลายมากกว่าสภาพที่ปัจจุบัน แต่ยังติดปัญหาว่านักโทษการเมืองในต่างจังหวัดจะทำอย่างไร 

ส่วนเื่เรื่องการประกันตัว ล่าสุดสมาคมทนายแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยทำงานกับกรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรมในการประกันตัวนักโทษการเมือง ในกลางเดือนธันวาคม ข้อมูลทั้งหมดน่าจะเรียบร้อยพร้อมดำเนินการยื่นเรื่องประกัน

คุณแม่ฝากประกาศว่า แม้เราจะได้รับความช่วยเหลือจากสมาคมทนายความ กลุ่มทนายเพชรพงศ์ บ้านเลขที่111 รวมถึงทนายอาสา เช่นคุณอานนท์ แต่เรายังต้องการทนายมาช่วยทวงความยุติธรรมเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะการประกันนักโทษคดี พรก.และคดี112 ถ้าทนายท่านใดรักความเป็นธรรมกรุณาติดต่อ อ้อย เลขาคุณแม่ได้ที่ 086-093-7706 หรือที่สำนักงานกองทุนยุติธรรม อิมพีเรียลลาดพร้าวชั้น 5 ในเวลาราชการครับ

เรื่องนี้สืบเนื่องจากรักษาการประธานนปช.เข้าพบรัฐมนตรียุติธรรมเมื่อวันที่ 23 พฤษจิกายนที่ผ่้านมา ขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อเสนอของ คอป.ซึ่งได้ข้อตกลง 2 เรื่้องคือการย้ายที่คุมขังให้นักโทษคดีการเมืองต่างหากจากอาชญากรทั่วไป และให้ปล่อยตัวโดยกรมคุ้มครองสิทธิจะเป็นผู้ยื่นประกันตัว

วันเดียวกันนางธิดา เขียนบันทึกหัวข้อ ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยกล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า ในเร็ว ๆ นี้ผู้ต้องขังเหล่านี้จะได้รับสิทธิแยกไปคุมขังในที่เหมาะสม อาจจะเป็น โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม เราก็หวังว่าในระหว่างรอคอยอิสรภาพ ผู้ถูกคุมขังจากคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น จากที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำเช่นเดียวกับผู้ประกอบอาชญากรรมทั่วไป

สำหรับการประกันตัวนั้น ถ้าผู้ถูกคุมขังใดประสงค์จะแยกประกันโดยหลักทรัพย์เดิม และทนายเดิมที่มีอยู่ ก็รีบแจ้งที่ นปช. ด่วนด้วย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-9349481 แฟ็กซ์ 02-9349467 หรือ E-Mail : hec2011@hotmail.co.th , คุณวัฒน์ 089-5133197, คุณข้าวเหนียว 086-0937706 เพราะจะได้นำเสนอ ส่วนผู้ถูกคุมขังที่เหลือทั้งหมดที่ประสงค์จะให้รัฐบาลและกรมคุ้มครองสิทธิ ประกันตัวทุกท่าน 

ก็หวังว่าจะได้รับการประกันตัวเพิ่มขึ้น และเราก็ต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเราทุกคน เรามิได้เน้นคนหนึ่งคนใด คดีใดเป็นพิเศษ แต่เราทำเพื่อทุกคน ผู้ที่พยายามโจมตีกล่าวร้าย นปช. ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้คุณเป็นส่วนหนึ่งแห่งการกระทำเพื่อช่วยเหลือให้สัมฤทธิผลจะดีกว่ากระมัง !

นางธิดาเขียนบันทึกเรื่อง ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ว่า การปฏิบัติภาระหน้าที่เฉพาะหน้าของคณะกรรมการ นปช. ส่วนกลางตามที่แถลงไว้ ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2553 อันเป็นการแถลงเปิดตัวคณะกรรมการ นปช.ส่วนกลาง ในสถานการณ์ที่คณะกรรมการชุดเดิมต้องถูกจับกุมคุมขังและหลบหนีไปเกือบทั้งหมด คนที่เหลืออยู่ก็ถูกคุกคามว่าจะจับกุมอยู่เกือบทุกวัน เช่น คุณจตุพร พรหมพันธ์ ก็ถูกอธิบดี DSI เวลานั้น ขู่จับกุมเกือบทุกสัปดาห์ คณะกรรมการชุดรักษาการจึงต้องเกิดขึ้นในสถานการณ์ยากลำบากของขบวน

ข้อแรกของภาระหน้าที่ คือ การรณรงค์ให้ปล่อยตัวหรือได้รับการประกันตัว ทั้งแกนนำ มวลชนเสื้อแดง และผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบทั้งหลายให้ได้รับการประกันตัว เพื่อดำเนินคดีอย่างรัฐที่มีนิติธรรม

ข้อ 2 การช่วยกันเยียวยาผู้ถูกกระทำและครอบครัว ทั้งการประกันตัวและต่อสู้คดี

ข้อ 3 การเรียกร้องความยุติธรรม อันหมายรวมที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ และการใช้อำนาจรัฐที่เป็นนิติรัฐนิติธรรม ด้วยมาตรฐานเดียวกันต่อประชาชนผู้ถูกกล่าวโทษและจับกุมคุมขัง

ข้อ 4 การยกระดับการต่อสู้ของประชาชนให้สูงขึ้นด้วยองค์ความรู้ มิให้ลื่นไถลไปกับความคิดสุ่มเสี่ยง หรือการยอมจำนนอย่างไร้หลักการ

ข้อ 5 ต่อสู้ ผลักดัน จัดตั้งรัฐบาลประชาชน ภายใต้เป้าหมายยุทธศาสตร์ใหญ่เฉพาะหน้า คือการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง และองค์กรที่มาจากผลการทำรัฐประหาร 

ถ้าคนที่ติดตาม นปช. ในการแถลงข่าวมาตลอดก็จะรู้เป้าหมายยุทธศาสตร์ ซึ่งมีอยู่นานแล้วว่า ไม่ต่างอะไรกับแนวทางนิติราษฎร์ และเราก็แถลงสนับสนุนมาตลอด จนบางคนกล่าวว่า เราเอากลุ่มนิติราษฏรมาผูกโยงกับ นปช. รึเปล่า บางคนไม่เห็นด้วย 

แต่เราได้แถลงเป็นประจำถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ นโยบาย และภาระหน้าที่ของ นปช. ซึ่งเราต้องปฏิบัติตามหลักการนี้ ไม่ใช่เรื่องสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนกลุ่มใด แต่เราเดินไปตามหลักการที่วางไว้ และได้รับการเห็นชอบมาก่อนแล้ว เมื่อเป็นไปตามแนวเดียวกัน การพูดสนับสนุนก็เป็นธรรมดาที่พูดกันเป็นประจำ ปัญหาเรื่องสนับสนุนนิติราษฎรหรือไม่ จีงมีเฉพาะผู้ที่ไม่ติดตามเรื่องราวของเราเท่านั้น จีงไม่ทราบหรือทราบแต่ตั้งใจจะให้ร้ายป้ายสีก็เป็นได้

ในการปฏิบัติตามหลักการ มติของ นปช. ที่วางไว้นั้น บางเรื่องต้องมีขั้นตอน ระยะเวลา และสถานการณ์มาเกี่ยวข้อง แต่เราเดินหน้าปฏิบัติไปให้บรรลุให้ได้

ขณะนี้เราได้รวบรวมรายชื่อผู้ต้องขังอันเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองไว้ 101 ราย เพื่อทำภาระหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่ การประกันตัวและต่อสู้คดี ซึ่งประชาชนทั่วไปก็ได้ช่วยกันมากมาย เพราะลำพังกลุ่ม นปช. ไม่มีกำลังทรัพย์และทนายเพียงพอที่จะช่วยได้สมบูรณ์ทุกราย ทนายอาสา และประชาชนอาสาจึงเป็นส่วนเติมเสริมแต่งให้การช่วยเหลือดีขึ้น

ณ บัดนี้ ในการเร่งรัดรัฐบาลในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ใช่เรื่องของตุลาการ เราได้พยายามที่จะเร่งให้รัฐบาลนี้และกลไกความยุติธรรมอื่น ๆ อำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนผู้ถูกกระทำให้ได้มากที่สุด ดังที่เราได้เจรจากับคณะของกระทรวงยุติธรรม มีทั้ง รัฐมนตรี ประชา พรหมนอก ท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม ท่านรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และตัวแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิ โดยได้ขอความเป็นไปได้ 4 ข้อคือ 

1. ให้ดำเนินการประกันตัวทุกรายในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง (มิได้จำกัดเฉพาะคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมในเดือน เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553)

2. ให้จัดที่คุมขังแยกจากผู้ถูกคุมขังอื่น ๆ

3. ให้ทบทวนการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินจริง

4. ให้ชลอคดีที่ดำเนินอยู่ โดยรอข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วนทั้งเหตุแห่งปัญหา และมาตรการทางกฎหมายและประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งมาตรการทางอาญาเรื่องความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน

ทางกระทรวงยุติธรรมรับไป 2 ข้อแรก เพราะเดิมหน่วยงานรัฐบาลจะไม่รวมคดี 112 และ พรบ. คอมพิวเตอร์ฯ แต่เรายืนยันข้อเสนอ คอป., ปคอป. และมติ ครม. เรื่อง คดีหมิ่นฯ ตามมาตรา 112 และผิด พรบ. คอมพิวเตอร์ฯ ทางกระทรวงฯ จึงรับสิทธิของผู้ต้องขังเหล่านี้รวมไว้ตามข้อเสนอ ปคอป. และข้อเรียกร้องของเราด้วย

ผลก็คือ เร็ว ๆ นี้ผู้ต้องขังเหล่านี้จะได้รับสิทธิแยกไปคุมขังในที่เหมาะสม อาจจะเป็น โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม เราก็หวังว่าในระหว่างรอคอยอิสรภาพ ผู้ถูกคุมขังจากคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นจากที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำเช่นเดียวกับผู้ประกอบอาชญากรรมทั่วไป

สำหรับการประกันตัวนั้น ถ้าผู้ถูกคุมขังใดประสงค์จะแยกประกันโดยหลักทรัพย์เดิม และทนายเดิมที่มีอยู่ ก็รีบแจ้งที่ นปช. ด่วนด้วย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-9349481 แฟ็กซ์ 02-9349467 หรือ E-Mail : hec2011@hotmail.co.th , คุณวัฒน์ 089-5133197, คุณข้าวเหนียว 086-0937706 เพราะจะได้นำเสนอส่วนผู้ถูกคุมขังที่เหลือทั้งหมดให้รัฐบาลและกรมคุ้มครองสิทธิ ประกันตัวทุกท่าน

ก็หวังว่าจะได้รับการประกันตัวเพิ่มขึ้น และเราก็ต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเราทุกคน เรามิได้เน้นคนหนึ่งคนใด คดีใดเป็นพิเศษ แต่เราทำเพื่อทุกคน ผู้ที่พยายามโจมตีกล่าวร้าย นปช. ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้คุณเป็นส่วนหนึ่งแห่งการกระทำเพื่อช่วยเหลือให้สัมฤทธิผลจะดีกว่ากระมัง !

*********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-เปิดหลักฐานกระบวนการอยุติธรรมไทยไม่ปรองดอง ฟันอีกคดีหมิ่น-ถ่วงคดีก่อการร้ายยึดสนามบินครบ 3 ปี

-ย้าย 101 นักโทษการเมืองไปพลตร.บางเขน รัฐเป็นเจ้าภาพยื่นประกันรวมอากง SMS ขึ้นกับศาลเมตตา

เปิดคำฟ้องฟันเหยื่อ112หมิ่นผ่าน facebook อัยการให้ลงโทษหนักเกิดมาอาศัยแผ่นดินไทยไม่้จงรักดี!

"จำเลยเป็นคนไทย อาศัยบนผืนแผ่นดินไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาติบ้านเมือง และพสกนิกร จำเลยนอกจากไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรเสมอมาแล้ว ยังบังอาจแสดงความอาฆาตมาดร้าย มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ประชาชนชาวไทยไม่อาจยอมรับได้ พฤติการณ์ของจำเลยไม่มีเหตุอันควรปราณีไม่ว่าในทางใด สมควรได้รับโทษสถานหนัก "

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 พฤศจิกายน 2554

วันนี้ศาลอาญาได้เบิกตัวนายสุรภักดิ์(ขอสงวนนามสกุล)จำเลยมารับทราบคำฟ้องของนายชลัมพร เพ็ชรรัตน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา6 สำนักงานคดีอาญาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ รายล่าสุด หลังมีการจับกุมและคุมขังตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา

คำฟ้องของอัยการระบุว่า จำเลยกระทำผิดโดยเขียนข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเผยแพร่ลงในfacebookรวม 5 ครั้ง ระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม-16 สิงหาคม 2554 ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ ในตอนท้ายคำฟ้องระบุว่า

" อนึ่ง จำเลยเป็นคนไทย อาศัยบนผืนแผ่นดินไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาติบ้านเมือง และพสกนิกร จำเลยนอกจากไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรเสมอมาแล้ว ยังบังอาจแสดงความอาฆาตมาดร้าย มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ประชาชนชาวไทยไม่อาจยอมรับได้ พฤติการณ์ของจำเลยไม่มีเหตุอันควรปราณีไม่ว่าในทางใด สมควรได้รับโทษสถานหนัก "

นายอานนท์ นำภา ทนายความของจำเลยในคดีนี้ แสดงความเห็นว่า อ่านคำฟ้องฉบับล่าสุดที่พนักงานอัยการฟ้องคดีหมิ่นฯ จากเฟซบุ๊คแล้วถือเป็นคดีแรกที่พนักงานอัยการได้แสดงทัศนคดิส่วนตนโดยบรรยายฟ้องจนเกินเลยไปกว่าองค์ประกอบความผิด ไม่ว่าท่านจะคิดเช่นไรก็หามีสิทธิที่ใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ 

กระบวนการยุติธรรมไทยไม่สนมติครม.ให้ปรองดองสั่งชลอคดี

คำสั่งฟ้องในคดีดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากปลัดสำนัำกนายกรัฐมนตรีส่งหนังถือลงวันที่ 9 พฤศจิกายน ถึงอัยการสูงสุดให้ยึดมตินโยบายปรองดองตามข้อเสนอของคอป. ซึ่งเป็นตัวสะท้อนว่าอัยการไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลเลย
ไม่ปรองดองมีแต่ปูดอง2มาตรฐานต่อไป-หนังสือปลัดสำนักนายกรัฐมตรี ลงวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีคำสั่งขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อัยการสูงสุด ให้ปฏิบัติตามมติครม.เรื่องการอย่าเพิ่งให้ส่งฟ้อง หรือให้ปล่อยตัว และชลอคดีคนเสื้อแดง กับคดี112 และหากตัดสินเด็ดขาดแล้วให้แยกที่คุมขังนักโทษคดีการเมืองออกจากนักโทษอาชญากรทั่วไป แต่กระบวนการยุติธรรมไทยไม่สน

ทั้งนี้นายสุรภักดิ์ วัย 40 ปี โปรแกรมเมอร์อิสระ ที่ถูกจับกุมคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ตกเป็นเหยื่อคดีหมิ่นจากการเล่นเฟซบุ๊ค ซึ่งสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ รายงานข่าวเรื่อง จับ "เฟคบุ๊ค" เหยื่อ 112 : เขาละเมิดสิทธิผมตั้งแต่ชั้นจับกุม ว่า เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 2 กันยายน เจ้าพนักงานชุดจับกุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในชุดนอกเครื่องแบบประมาณ 10 คน ได้บุกเข้าจับกุมนายสุรภักดิ์ชาวจังหวัดบึงกาฬ ณ อาพาร์ตเม้นท์ ในซอยมหาดไทย (ลาดพร้าว 122) โดยได้กล่าวหาว่ากระทำความตามพระราชบัญญัิติว่าด้วยการกระทำความผิดอันเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 

ซึ่งในระหว่างจับกุมได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์แบบพกพา,คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แอร์การ์ด รวมทั้งแผ่นซีดีไปด้วย ทั้งนี้ ในระหว่างเข้าจับกุมพนักงานเจ้าหน้าที่มิได้ให้โอกาสผู้ต้องหาติดต่อกับทนายความ หรือผู้ที่ผู้ต้องหาไว้วางใจแต่อย่างใด

"พอผมกลับจากทำธุระข้างนอกเค้าก็กรูเข้ามาล็อกตัวผมทันที พูดจาข่มขู่สารพัด แต่ละคนตัวโตๆทั้งนั้น มีบางคนเข้าไปค้นและรื้อยึดคอมพ์ผมไปทั้งโน้ตบุ๊ค และ PC พวก ซีดีโปรแกรม และแอร์การ์ดที่ผมใช้ทำงานก็เอาไป เขาแจ้งข้อหาผม หาว่าผมเป็นคนสร้างเพจ เราจะครองแผ่นดินโดย… ในเฟสบุ๊ค ซึ่งผมก้ปฏิเสธว่าผมไม่รู้เรื่อง 

แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอม และยังบอกว่าผมใช้ชื่อว่า "ดอกอ้อริมโขง" และกล่าวหาว่าผมไปเกี่ยวข้องกับเว็ปไซต์ นปช.ยูเอสเอ ผมยืนยันว่าผมไม่รู้เรื่อง แต่เขาบังคับให้ผมลงชื่อรับสารภาพ ผมจะโทร.หาทนายความก็แย่งโทรศัพท์มือถือจากผม ผมกลัวเลยลงชื่อไป 

เจ้าหน้าที่บังคับให้ผมบอกรหัสเปิดคอมพิวเตอร์ ผมกลัวจึงบอกเค้าไป แล้วเขาก็พาผมมาที่ดีเอสไอ จึงได้ติดต่อกับทนายความ ดีที่ได้ทนายจากทีมคุณคารม พรรคเพื่อไทย ที่มาช่วยกัน ผมจึงมีโอกาสให้การปฏิเสธ"

ต่อมาญาตินายสุรภักดิ์ได้ประสานขอความช่วยเหลือจากทางพรรคเพื่อไทย โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยของจังหวัดบึงกาฬ ใช้ตำแหน่งเข้ายื่นประกันตัว แต่ก็เหมือนผู้ต้องหา่คดีนี้รายอื่นๆคือไม่ได้ประกันตัว

สหภาพยุโรป (อียู) ออกแถลงการณ์ แสดงความเป็นห่วง กรณีมีคำพิพากษาจำคุก "อากง" พร้อมเรียกร้องรัฐบาลไทยยึดมั่นในการนำหลักนิติธรรมไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม ไม่เลือกปฏิบัติ สอดคล้องกับการสนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกด้วย

อียูออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วง หลังคำตัดสินคดีอากง

เว็บไซต์ประชาไท รายงานว่า สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปออกคำแถลงการณ์ตามที่ได้เห็นพ้องโดยหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ดังต่อไปนี้:

สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปมีความเป็นห่วงในกรณีที่มีคำพิพากษาจำคุกนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) เป็นเวลา 20 ปี มีความผิดในฐานละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

สหภาพยุโรปต้องการย้ำถึงจุดยืนของสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญกับการยึดมั่นในหลักนิติธรรม ประชาธิปไตย และการเคารพสิทธิมนุษยชน

สหภาพยุโรปขอสนับสนุนให้รัฐบาลไทยยึดมั่นในการนำหลักนิติธรรมนั้นไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับการสนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกด้วย 

******
ข่าวเกี่ยวเนื่อง
-เปิดเบื้องหน้าเบื้องหลังกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติอ้าง facebook ร่วมมือยัดคุกเหยื่อคดีหมิ่นรายล่าสุด

-นักล่าแม่มดบอร์ดเสรีไทยอ้าง facebook ให้ความร่วมมือเปิดเผย IP สมาชิกจับกุมคนเล่น fb หมิ่นฯ1ราย

-'สันติประชาธรรม' วอนให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่น เตือน 'เพื่อไทย' ถลำสู่เกม 'คลั่งเจ้า'

-เมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนาส่ง SMS 20 ปี กด Like เฟซบุ๊คคุก 5 ปี อ.นิติราษฎร์ฟันธงมั่วใหญ่แล้วไม่เข้าข่าย
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น