อะไรคือสลิ่ม? ว่าด้วยที่มา บริบทความหมาย และคุณลักษณะเฉพาะ
ซาหริ่ม, ซ่าหริ่ม น. ชื่อขนมอย่างหนึ่ง ทําด้วยแป้งถั่วเขียว ลักษณะคล้ายลอดช่อง แต่ตัวเล็กและยาวกว่า กินกับนํ้ากะทิผสมนํ้าเชื่อม.
(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒)
นี่อาจจะเป็นอีกคำหนึ่งที่มีผู้สะกดผิดมากคำหนึ่ง ซาหริ่ม หรือที่เรามักเขียนกันว่า "สลิ่ม" ตามความหมายดั้งเดิมหมายถึงขนมไทยชนิดหนึ่ง แต่ความหมายของคำในภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ การเปลี่ยนแปลงในลักษณะหนึ่งก็คือการย้ายที่ของแวดวงความหมาย ทำให้เกิดการใช้คำนั้นในอีกความหมายหนึ่งที่ไม่ตรงกับความหมายประจำคำ นั่นคือลักษณะของสำนวนนั่นเอง ซึ่งสลิ่มเองก็ได้กลายมาเป็นคำศัพท์เฉพาะ (หรืออาจเรียกว่าเป็นสแลง) ทางการเมืองไทยร่วมสมัยด้วยความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
ที่มาและบริบทความหมาย
ช่วงต้นปี ๒๕๕๓ มีการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ในขณะนั้นยุบสภา ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างหลากหลาย และหนึ่งในนั้นคือการเกิดขึ้นของกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ(ไม่แบ่งสี) โดยการนำของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมาขนานนามตนเองว่าเป็น "กลุ่มเสื้อหลากสี"
การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อหลากสีได้สร้างปฎิกิริยาโต้กลับจากฝ่ายเสื้อแดงในทางเย้ยหยัน ว่าเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อ/เปลี่ยนสีเสื้อ ของคนเสื้อเหลืองเก่า ที่ไม่สามารถใช้เสื้อเหลืองในการเคลื่อนไหวอย่างสะดวกใจได้ต่อไป เนื่องจากการเสื่อมความนิยมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกอบกับความกระดากที่กลุ่มพันธมิตรได้กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีสำคัญๆ (แม้ว่าจะรอดพ้นการดำเนินคดีได้อย่างปาฎิหาริย์มาโดยตลอด) ในทัศนะของคนเสื้อแดงคนเสื้อหลากสีก็คือเสื้อเหลืองจำแลงนั่นเอง เพราะจริงๆ แล้วทั้งความคิด พื้นฐานอุดมการณ์ การกระทำ และการแสดงออกของเสื้อหลากสีก็เหมือนกับเสื้อเหลืองไม่ต่างกับฝาแฝด กล่าวคือ ทั้งสองเสื้อล้วนอยู่ตรงข้ามพรรคเพื่อไทย/คนเสื้อแดง และแสดงออกถึงการต่อต้านทักษิณอย่างมากล้น รวมไปถึงมีคติร่วมที่ไม่ค่อยเชื่อประชาธิปไตยในระบบ เป็นพวกฝักใฝ่ระบอบกษัตริย์ และมักเรียกร้องหารัฐประหาร
การดูแคลนคนเสื้อหลากสีของคนเสื้อแดงได้ถ่ายทอดออกมาผ่าน "สมญานาม" ที่ใช้เรียกเสื้อหลากสี คำๆนั้นก็คือคำว่า "สลิ่ม" ด้วยเหตุผลว่าสลิ่ม(ซาหริ่ม) เป็นขนมที่มีเส้นหลากหลายสีสัน เป็นการล้อไปกับสภาพเสื้อที่หลากหลายสีของกลุ่มเสื้อหลากสีนั่นเอง กล่าวได้ว่ากายภาพด้านสีของขนมสลิ่ม ได้ถูกถ่ายความหมายมาใช้กับคนเสื้อหลากสีเพื่อสื่อถึงสภาพดังกล่าว ผู้เขียนพบเห็นคำนี้ผ่านเฟซบุ๊คของเพื่อนในช่วงเดือนเมษา ๕๓ แต่ก็ไม่ทราบต้นตอว่าใครเป็นคนคิดคำนี้คนแรก ในที่นี้มีความน่าสนใจว่าถ้าจะสื่อถึงสภาพหลากสี ทำไมไม่ใช้คำที่เรามักใช้กันเช่น "สายรุ้ง" หรือจะเป็นด้วยว่ามันฟังดูหน่อมแน้มน่ารักเกินไป โดยถ้ามองจากสายตาของนักภาษาศาสตร์ ผู้เขียนเสนอว่า "สลิ่ม" เป็นคำที่มีทั้งเสียงเสียดแทรกคือเสียง /ส/ และลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์เอกซึ่งเป็นเสียงต่ำ ทำให้มีเสียงที่หนักแน่นเหมาะจะใช้ในการด่าหรือเหยียดหยาม เช่นเดียวกับคำว่า "สัตว์" ที่เรามักด่ากันว่า "ไอ้สัตว์" นั่นเอง
แม้ว่าในเบื้องแรกสลิ่มจะถูกใช้ขนามนามให้คนเสื้อหลากสีเป็นการเฉพาะ แต่ในที่สุดแล้วคำๆนี้ก็ได้กลายเป็นสแลงทางการเมืองที่แพร่หลายมากคำหนึ่ง (อย่างน้อยก็ในหมู่คนเสื้อแดง) สลิ่มได้ถูกนำไปใช้ในบริบทความหมายที่กว้างขึ้น จากเดิมที่ใช้เฉพาะกลุ่มการเมืองของคนเสื้อหลากสี ไปสู่การใช้กับใครก็ตามที่มีพฤติกรรมร่วมที่เข้าข่ายเดียวกับคนเสื้อหลากสี เพราะดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคนเสื้อหลากสีก็มีรากเดียวกับคนเสื้อเหลืองเก่า ดังนั้นแล้วหากพิจารณาตัวเล่นในการเมืองไทย ก็จะเห็นได้ว่าประกอบไปด้วยฝั่งแดงและฝั่งเหลืองอยู่นั่นเอง เราอาจแยกผู้เล่นออกได้เป็นภาคพรรคการเมืองและภาคประชาชน ซึ่งฝั่งแดงจะประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งจะประกอบไปด้วยพรรคประชาธิปัตย์และสลิ่มนั่นเอง ตามบริบทความหมายที่ใช้กันในปัจจุบัน สลิ่มย่อมจะหมายถึงใครก็ตามที่มีจุดยืนทางการเมืองในแบบหนึ่ง(ที่จะขออธิบายในหัวข้อต่อไป) ไม่ว่าคนๆนั้นจะให้คำจำกัดความตัวเองว่าเป็นพันธมิตรฯ เป็นเสื้อหลากสี หรือแม้แต่เป็นกลางก็ตาม
คุณลักษณะเฉพาะ
จากที่มาข้างต้นประกอบกับที่ผู้เขียนได้สังเกตการแสดงออกทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ผู้เขียนอยากจะเสนอลักษณะเฉพาะ (Characteristic) ของ "สลิ่ม" ว่ามีดังนี้
๑.มีความเกลียดชังทักษิณเป็นล้นพ้น พันธมิตรฯซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสลิ่มได้ถือกำเนิดในปี ๒๕๔๘ เพื่อไล่นายกทักษิณในขณะนั้น และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เมื่อผนวกกับกระบวนการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ก็ทำให้เกิด "ผีทักษิณ" ที่หลอกหลอนสังคมไทยมาโดยตลอด ทำให้สลิ่มจะคิดว่าทักษิณคือต้นตอแห่งความเลวร้ายทุกประการของการเมืองไทย เราจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนจากเว็บบอร์ดอันเป็นที่พักพิงของสลิ่มทั้งหลาย ที่ไม่ว่าจะเกิดประเด็นทางการเมืองอะไร ชื่อของทักษิณก็มักจะถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ (แม้ว่าบางกรณีทักษิณจะไม่ได้เกี่ยวข้องเลยก็ตาม) รวมถึงการสร้างวาทกรรมว่าทักษิณใช้อำนาจเงินเข้าไปซื้อทุกอย่าง (จนเสื้อแดงเอาไปล้อเลียนในลักษณะขบขันเสมอๆ เช่นมีเพจในเฟสบุ๊คชื่อ "มั่นใจว่าทักษิณสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ได้") ความเกลียดทักษิณนี้ทำให้สลิ่มรังเกียจทุกสิ่งที่มีความเกี่ยวพันกับทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย นักการเมืองในเครือข่ายทักษิณ ญาติทักษิณ ประชาชนที่ชอบทักษิณ ฯลฯ
๒.ฝักใฝ่ลัทธิกษัตริย์นิยม เป็นเรื่องน่าประหลาด แต่คุณลักษณะในข้อ ๑ และข้อ ๒ นี้มักจะมาด้วยกันเป็นเงาตามตัว นั่นอาจเป็นผลพวงจากการสร้างวาทกรรมของกลุ่มพันธมิตร ที่กล่าวหาว่าทักษิณล่วงละเมิดในหลวง-แดงล้มเจ้า ลัทธิกษัตริย์นิยม หรือ Royalism เป็นแนวคิดที่เชื่อมั่นในตัว/สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสุดโต่ง คนที่เป็น royalism มักจะโน้มเอียงในทางที่ไม่เชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย มีการเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง (เช่นมาตรา ๗) จนบางคนอาจเสนอให้ประเทศไทยกลับไปใช้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยซ้ำ อาการของ royalism นี้มักแสดงออกด้วยการ"ดึง"เอาสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมืองในแทบทุกเรื่อง (ดูรูปข้างล่างประกอบ) และมักใช้สถาบันเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนความคิดของตน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือวาทะประวัติศาสตร์อันลือลั่นของอ๊อฟ พงศ์พัฒน์ (ที่บางคนขนานนามว่าสลิ่มตัวพ่อ) ที่ว่า "ไม่รักพ่อก็ออกไปจากบ้านของพ่อซะ"
๓.โหยหาทหาร อาจเป็นเพราะนับแต่ ๑๙ ก.ย. ๔๙ สถาบันทหารได้แสดงจุดยืนที่"ไม่เข้าข้าง"รัฐบาลพลเรือนจากฝ่ายทักษิณมาโดยตลอด ทำให้ทหารกลายเป็นพระเอกในใจสลิ่มไปโดยปริยาย สลิ่มจึงพยายามที่จะเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหารซ้ำแ่ล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่สมัยการชุมนุมของพันธมิตรในทำเนียบ มาจนถึงช่วงอุทกภัยในปัจจุบันนี้ (ดูรูปด้านล่างประกอบ) นั่นอาจเป็นเพราะสลิ่มมีความคิดง่ายๆ ว่า แค่กำจัดทักษิณและพลพรรคนักการเมืองของเขาออกไปได้ทุกอย่างก็จะจบ โดยที่ก็ลืมคิดไปว่ารัฐประหารที่ผ่านมาก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรแม้แต่นิดเดียว
๔.ไม่เชื่อมั่นประชาธิปไตยในระบบ การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครั้งหลังๆที่ผ่านมาจบลงด้วยชัยชนะของพรรคในเครือข่ายเก่าของทักษิณเสมอ นั่นอาจทำให้สลิ่มหมดหวังหรือถึงขั้นชิงชัยประชาธิปไตยในระบบ เพราะถ้าเล่นกันตามเกมแล้วความต้องการและรสนิยมทางการเมืองของพวกเขาไม่อาจกำเสียงส่วนมาก สลิ่มจำนวนมากจึงหันไปหาวิธีการพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของกษัตริย์และกองทัพดังที่ได้กล่าวมาแล้ว หรืออีกวิธีหนึ่งก็ืคือการแก้ไขกติกาให้เสียงของประชาชนมีความสำคัญน้อยลง เช่น ข้อเสนอ 70/30 ของพันธมิตร หรือเสนอให้คนจบปริญญาตรีขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีสิทธิเลือกตั้ง (ดูรูปด้านล่างประกอบ) พวกเขาคงจะคิดว่ายิ่งลดทอนความเป็นประชาธิปไตยให้ได้มากเท่าไหร่ ความต้องการทางการเมืองของตนก็คงจะสมหวังได้ง่ายขึ้น
๕.ขาดเหตุผลและความรู้ นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้สลิ่มถูกปรามาสจากเสื้อแดงมาโดยตลอด เนื่องจากสลิ่มมักขาดเหตุผลที่ดีในการแสดงออก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่เคยยกไปในข้อที่ ๑ ก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สลิ่มก็มักใช้เหตุผลว่า "ทักษิณซื้อ...ไปแล้ว" หรือในช่วงน้ำท่วมนี้เราก็จะเห็นกันได้อย่างดาดดื่นกับการแสดงออกทางการเมืองที่แสนจะน่าตลกขบขันปนหดหู่ เช่น ด่ายิ่งลักษณ์ว่าโง่ โดยที่คนด่าก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาแสดงได้ว่ายิ่งลักษณ์โง่อย่างไร เธอทำงานผิดพลาดอย่างไร หรือเหน็บแนมในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เช่นเรื่องรองเท้าลุยน้ำของนายก เรื่องท่าทาง ไปจนถึงเรื่องการจับมือกับโอบามา (ซึ่งบางอย่างที่ยกมาก็เป็นเรื่องเท็จ) นอกจากนั้นแล้วสลิ่มยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้พื้นฐานทางการเมือง-สังคม-ประวัติศาสตร์ที่ดีพอ ทำให้บางครั้งหาข้อสนับสนุนความคิดของพวกเขาเป็นไปอย่างลักลั่น ขัดแย้งในตัวเองอย่างน่าขัน เช่น กลุ่มพันธมิตรใช้เหตุการณ์ ๖ ตุลามาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของตน ทั้งที่สิ่งที่พันธมิตรกระทำก็เป็นสิ่งเดียวกันที่ฆ่านักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลา หรือในกรณีข้อเสนอเรื่องสิทธิเลือกตั้งกับวุฒิปริญญาตรีก็แสดงให้เห็นว่าคนเสนอไม่ได้มีความรู้เกี่ยวทางสังคมและหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ดีพอแต่อย่างใด (กรุณาอ่าน http://www.prachatai.com/journal/2011/11/37879)
๖.มีความหลงผิดว่าตนเองดีเลิศและสูงส่งกว่าคนอื่น ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุอันใด ทำให้สลิ่มที่พบเจอมักจะเป็นชนชั้นกลางไปถึงสูงที่มีการศึกษา ส่วนหนึ่งอาจเป็นคนเมืองหรือคนชนบทที่สมาทานความเป็นคนเมืองไว้พอสมควร ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าสลิ่มจะต้องชิงชังทักษิณอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเมื่อภาพของคนที่ชื่นชอบทักษิณส่วนใหญ่เป็นคนชนบท-คนชั้นล่าง ทำให้สลิ่มนำภาพรวมดังกล่าวมาเปรียบเทียบ และยกสถานะตนเองในแง่ของชนชั้นและการศึกษาว่าเหนือกว่าอีกฝ่าย การยกตนนี้ลุกลามไปจนถึงการแสดงออกทางการเมือง สลิ่มจะคิดไปว่าความคิดทางการเมืองในแบบของตนนั้นดีเลิศและสูงส่งกว่าของคนอื่นโดยเฉพาะเสื้อแดง นั่นเป็นที่มาของอาการ "ตีอกชกหัว" ของสลิ่มทั้งหลายในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ สลิ่มทั้งหลายไม่รีรอที่จะ "ขึ้นธรรมาสน์" ด่ากราดสั่งสอนคนที่เลือกเพื่อไทยว่่าโง่-ไม่มีการศึกษา-ไม่มีวิจารณญาณ-ถูกซื้อเสียง ขณะเดียวกันก็ชูหางตนเองว่าตนเองนั้นเหนือกว่าพวกควายแดง เพียงแต่มีจำนวนน้อยกว่า (นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยที่ได้ยกไปข้างต้น)
ความหลงตนประการนี้ทำให้ัในการแสดงออกทางการเมืองหลายครั้งสลิ่มละเลยที่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดตน(ย้อนกลับไปอ่านข้อ๕) เพราะมีความหลงว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว ซึ่งเมื่อพิจารณาความไร้เหตุผลและการขาดความรู้ที่สลิ่มแสดงออก มันก็ยิ่งชวนขบขันในความหลงตัวเองของสลิ่ม ดังที่สหายท่านหนึ่งได้เขียนเสียดสีไว้ว่า สลิ่ม (SLIM) นั้นย่อมาจาก Special League of Intellectual and Morality คือพวกที่คิดไปเองว่าตนเองมีมาตรฐานปัญญาและศีลธรรมที่เหนือกว่าชาวบ้าน แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้แสดงให้เราเห็นเช่นนั้นแต่อย่างใด
ต้นตอของความเป็นสลิ่ม
เราจะเห็นว่าคุณลักษณะของสลิ่มที่ยกมานั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก อาการที่ ๑ ก่อให้เกิดอาการที่ ๒ อาการที่ ๓ ก่อให้เกิดอาการที่ ๔ อาการที่ ๕ เป็นปัจจัยของอาการที่ ๑...
อย่างไรก็ดีหลังจากที่วิเคราะห์ได้ระยะหนึ่งผู้เขียนก็พอจะสรุปได้ว่า ความเป็นสลิ่มนี้มีมูลเหตุพื้นฐานมาจากสิ่งหนึ่ง นั่นคือ Ignorance (ผู้เขียนเคยใช้คำภาษาไทยว่า "ความโง่เขลา" แต่เมื่อนำคำนี้ไปใช้ในการถกเถียงในเว็บบอร์ดชื่อดังแห่งหนึ่งปรากฏว่าวงแตกทันที ทำใ้ห้คิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะใช้คำทับศัพท์โดยไม่แปล)
ในวิกิพีเดียอธิบายว่า Ignorance หมายถึง a state of being uninformed (lack of knowledge) หรือสภาวะของความไม่รู้/การขาดความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง Ignorance นี้ต่างจากความโง่เง่า (Stupidity) เพราะความโง่เง่าแสดงถึงศักยภาพทางสมองที่ต่ำ แต่คนที่มี Ignorance นั้นอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องก็ได้ (เราจึงเห็นสลิ่มเป็นได้ทั้งหมอ วิศวกร ทนาย อาจารย์มหาวิทยาลัย) แต่ Ignorance เป็นการไม่รู้เพราะเลือกที่จะไม่รู้ เลือกที่จะไม่รู้เพราะอคติหรือบางสิ่งกำลังบังตา ทำให้คนที่มี Ignorance นั้นขาดเหตุผลและเกิดความคิดที่ผิดๆไปหมด(เช่นเดียวกับสลิ่ม) ในที่นี้สมมติฐานของผู้เขียนก็คือ ความเกลียดชังทักษิณและการหมกมุ่นในลัทธิกษัตริย์นิยมได้กลายเป็นคติที่มาบดบังสติปัญญาของคนจำนวนหนึ่ง ทำให้เกิด Ignorance และเมื่อเกิด Ignorance ก็เป็นตัวก่ออาการที่ได้กล่าวถึงแล้วข้างต้นในลักษณะนี้
- มี Ignorance ทำให้ไม่เข้าใจประชาธิปไตย
- มี Ignorance ทำให้ไม่เห็นข้อเสียของรัฐประหาร
- มี Ignorance ทำให้ละเลยข้อเท็จจริง และบริบทประวัติศาสตร์
- มี Ignorance ทำให้ขาดเหตุผล
- มี Ignorance ทำให้คิดว่าตนเหนือคนอื่น
- มี Ignorance ทำให้ความเกลียดชังทักษิณยิ่งเข้มข้นขึ้นโดยไม่ตรวจสอบ
ฯลฯ (สามารถสรุปเป็นแผนผังได้ดังนี้)
ถึงที่สุดแ่ล้วผู้เขียนเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ตรงข้ามฝ่ายเสื้อแดงจะเป็นสลิ่ม ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เกลียดทักษิณจะเป็นสลิ่ม แต่เป็น Ignorance และอาการข้างเคียงนั้นเองที่ทำให้ใครคนหนึ่งกลายเป็นสลิ่ม
หากท่านเกลียดทักษิณ แต่ท่านมีสติพอจะเข้าใจว่าปัญหาของการเมืองไทยไม่ได้เกิดจากทักษิณคนเดียว
ท่านไม่ใช่สลิ่ม!
หากท่านอยู่ตรงข้ามกับเสื้อแดง แต่ท่านเห็นว่าทหารไม่ควรก้าวก่ายการเมือง
ท่านไม่ใช่สลิ่ม!
หากท่านฝักใฝ่สถาบันกษัตริย์ แต่ท่านเห็นว่าอำนาจของกษัตริย์ก็ควรอยู่ในครรลองของประชาธิปไตย
ท่านไม่ใช่สลิ่ม!
หากท่านด่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ด่าอย่างมีเหตุผลและมีข้อมูลที่ถูกต้อง
ท่านก็ไม่ใช่สลิ่ม!
ดังนั้นถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากฝากคำถามไปถึงคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล/เสื้อแดงว่า ท่านมีลักษณะอย่างที่กล่าวมาหรือไม่ ท่านได้ตรวจสอบตัวท่านเองบ้างหรือเปล่า และท่านมีความคิดที่จะกำจัด Ignorance ของท่านทิ้งไปบ้างหรือไม่ เพราะถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังขนานนามและหยามหยันท่านอยู่นั้น มันก็ล้วนเกิดจากตัวท่านเองทั้งสิ้น ในอดีตโคลงโลกนิติบอกเราไว้ว่า
สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแก่ตนคน เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ ใส่ผู้บาปเอง
แต่นาทีนี้เราคงต้องเปลี่ยนกันใหม่แล้วล่ะว่า "สลิ่มเกิดแต่เนื้อในตน"
ที่มา: เฟซบุ๊ก Faris PHar Yothasamuth
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น